เครื่องบินแบบ Airbus A319 ของสายการบิน Bangkok Airways เริ่มลดเพดานบินลงจากระดับการบินปกติ หลังจากใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมา 3 ชั่วโมง 30 นาที แอร์โฮสเตจเริ่มเปิดไฟภายในเครื่องบิน เป็นนาฬิกาปลุกให้ผมตื่นจากการนอนหลับอันไม่ยาวนานมากนัก พร้อมเสียงประกาศห้าวต่ำจากลำโพงว่า "We're descending to Male International Airport" บิดขี้เกียดสักสองสามทีแล้วลองเปิดหน้าต่างข้างที่นั่งดู ก็ได้พบกับบรรยากาศชวนหลงไหลกับสีของน้ำทะเลฟ้าครามสลับสีเขียว ซึ่งถือว่าเป็น Signature ของประเทศนี้โดยเฉพาะ
หลังจากเครื่องบินลงจอดสนิท แล้วผู้โดยสารเดินเข้าสู่ Terminal นั้น ก็จะรู้ได้เลยครับ มาถึงแล้ว Welcome to Maldives ตัวโตๆ แปะไว้อย่างสวยงามทางฝั่งซ้ายของทางเข้า ก่อนทางเดินเป็นเส้นตรงจะนำไปสู่พิธีการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งผ่านไปได้อย่างราบรื่น
หลังจากออกมาจากด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วนั้น เจ้าหน้าที่โรงแรม Dusit Thani ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองได้มายืนรอรับ พร้อมป้ายชื่อใหญ่เห็นเด่นเป็นสง่า เมื่อทักทายทำความรู้จักกันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็พาเดินออกมาด้านหน้าสนามบินเพื่อขึ้นรถต่อไปห้องรับรองของโรงแรม (เนื่องจากการเดินทางไปโรงแรมดุสิตนั้น ค่อนข้างไกล จึงต้องต่อ Sea Plane อีกทีหนึ่ง) บรรยากาศหน้าสนามบินก็จะเป็นท่าเทียบเรือ โดยมีเรือหลากหลายชนิดวิ่งกันขวักไขว่ไปมา แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุด เห็นจะไม่พ้นสีของน้ำทะเลในบริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นสีฟ้าแบบสระว่ายน้ำ สวยงามตามสไตล์ Maldives ทีเดียว
เครื่องบิน Sea Plane ที่จะนั่งต่อไปยังโรงแรม Dusit นั้น เป็นเครื่องบินของสายการบินท้องถิ่น ชื่อว่า Trans Madivian Airways มีที่นั่งทั้งหมด 15 ที่นั่ง เมื่อก้าวขึ้นไปบนเครื่องบิน จะพบว่าต้องก้มหัวครับ เพราะเพดานค่อนข้างเตี้ย และที่นั่งไม่ใหญ่มาก มีกัปตัน 2 คน นั่งซ้ายขวา ดูจากหน้าตาแล้วคาดว่าน่าจะเป็นชาวยุโรป
เอาจริงๆ ว่าเป็นคนกลัวเครื่องบินในระดับหนึ่งเลย ทำให้ตอนเครื่องขึ้นก็แอบหวาดๆ ด้วยความที่เครื่องมันเล็ก แถมยังเป็นเครื่องใบพัดอีก สยิวกริ้วกันไปนิดนึง แต่พอเครื่องไต่ระดับได้แล้ว ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เครื่องก็บินเตี้ยๆ เลียดน้ำทะเลไปเรื่อยๆ ใช้เวลาบินประมาณ 35 นาที ก็ถึงโรงแรม Dusit Thani ที่หมายของเรา
เครื่องบิน Sea Plane แล่นลงบนน้ำทะเลบริเวณหน้าโรงแรม แล้วค่อยๆแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าเรือของโรงแรมซึ่งทำเป็น pier ยื่นออกมากลางทะเล บนท่าเรือ มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมาต้อนรับมากมาย ตั้งแต่ระดับ Manager จนถึงระดับพนักงานธรรมดา พร้อมมี Welcome Drink เป็นน้ำผลไม้มาต้อนรับ หากมองจากท่าเรือเข้าไปโรงแรม จะเห็นเพิงใหญ่ๆ ตามภาพบนด้านซ้าย ซึ่งบริเวณนี้ เรียกว่า Market เป็นห้องอาหารเช้าของโรงแรม
จากบริเวณเดียวกัน หากมองจากท่าเรือลงไปด้านล่าง จะเห็นความใสของน้ำทะเลสีเขียวมรกต ชนิดที่เรียกว่าใสจนเห็นปลาว่ายไปมาได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
เมื่อจัดการ check in เรียบร้อยแล้ว พนักงานขับรถประจำห้องพักก็จะพาแขกที่เข้าพักแยกย้ายไปตามห้องของตนเอง ส่วนพนักงานประจำห้องของผม ชื่อ Zinan หรือ ศรีน่าน เป็นคนศรีลังกา มาทำงานที่โรงแรม Dusit แต่นางเล่าว่านางมีเมียมีลูกเป็นคนไทยอยู่ที่เชียงใหม่ ศรีน่านพาขับรถวนรอบโรงแรม ซึ่งมีลักษณะเป็นเกาะ 1 รอบ พร้อมกับแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้ได้รู้จักคร่าวๆ บนเกาะโรงแรมดุสิตนี้ มีทุกอย่างพร้อมเพรียงไปหมด เริ่มตั้งแต่ห้องอาหารของโรงแรมที่มีด้วยกันทั้งหมด 3 ห้อง ได้แก่ The Market (ห้องอาหารเช้า และห้องอาหารบุฟเฟ่มื้อเย็น) , ห้องอาหาร Sea Grill ซึ่งจะเน้นเป็นอาหารทะเลออกสไตล์ Italian และ สุดท้าย คือ ห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งเป็นห้องอาหารไทย ยื่นออกไปกลางทะเล (อาหารไทยอร่อยมาก) จากนั้น Zinan ก็เริ่มแนะนำ Fitness Center , Diving Center , บริเวณสระว่ายน้ำ และมาจบที่ห้องพักของเราเอง
ห้องพักในคืนแรกนั้น เป็นห้องใหญ่ อยู่รวมกัน 4 คน เนื่องจากมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 3 ห้อง ห้องรับแขก 1 ห้อง และบริเวณระเบียงนั่งเล่น ซึ่งประกอบไปด้วยสระน้ำขนาดเล็ก และ มีบันไดลงไปสัมผัสน้ำทะเลด้านหลังด้วย (แต่บริเวณหลังห้องไม่สามารถลงทะเลได้ เนื่องจากพื้นใต้น้ำเป็นหินซึ่งค่อนข้างลื่น)
หลังจากเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อย ก็เปิดแชมเปญจ์ที่โรมแรมแถมให้ซะหน่อย
หลังจากพักผ่อนนอนหลับนั่งเล่นจนรู้สึกตัวเองจะเริ่มขี้เกียจเกินไปแล้ว จึงออกไปปั่นจักรยานดูบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น ในส่วนของจักรยานนั้น โรมแรมจะจัดให้มีประจำทุกห้อง โดยสามารถปั่นจักรยานได้รอบเกาะ เนื่องจากทางโรงแรมได้ทำทางสำหรับจักรยานวิ่งไว้อยู่แล้ว แต่ก็จะมีบางจุดที่ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากมีการขี่สวนมา ซึ่งบางมุมเป็นมุมเลี้ยวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า (ผมนี่ลุยพุ่มไม้ไป 2 รอบ)
พระอาทิตย์ตกดินที่หมู่เกาะ Maldives เป็นอีก signature หนึ่งของการเดินทางที่พลาดไม่ได้ เนื่องจากท้องฟ้าจะเปลี่ยนเฉดสีไปเรื่อยๆ ตามองศาที่ต่ำลงของพระอาทิตย์ ทำให้สามารถเลือกถ่ายรูปได้หลายอารมณ์ เป็นความเพลิดเพลินที่สวยงาม แต่แฝงไปด้วยความมีพลังซึ่งส่งออกมาได้เป็นอย่างดี
ค่ำคืนแรกกลางเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ผมเลือกรับประทานอาหารค่ำที่ห้องอาหาร Sea Grill เป็นแห่งแรก เนื่องจากอยู่ใกล้ห้องพัก และอยากรับประทานอาหารที่ออกแนวฝรั่ง ห้องอาหาร Sea Grill ตั้งอยู่ในบริเวณสระน้ำหลักของโรงแรม เมนูส่วนใหญ่จะออกแนวฝรั่งจ๋า มี set menu ให้เลือก เป็น Starter , Main Course และ Desert ซึ่งผมได้เลือกสั่ง Lobster Soup ตามด้วย Lamb และปิดท้ายด้วย Lemon Icecream สามอย่างที่สั่งมา ผมขอให้เครดิตกับ Lobster Soup ครับ เป็นเมนูที่รสชาติดีเยี่ยม และมีเนื้อ lobster ให้ได้เคี้ยวเต็มปากเต็มคำ แต่ก็ไม่ดูถูกจาน Main ซึ่งเป็นเนื้อแกะที่นุ่ม กินเพลินมากครับ มื้อเย็นมื้อแรกให้ 9/10
อิ่มหนำเรียบร้อยก็ปั่นจักรยานกลับห้องพัก ในช่วงกลางคืนนั้น โรงแรมได้ประดับไฟไว้ตามริมขอบทางเดินเหนือน้ำ เพื่อป้องกันอันตรายและเป็นเส้นทางให้กับแขกของโรงแรมได้ปั่นจักรยานได้โดยไม่หลงทางและไม่ตกน้ำ ปิดทริปวันแรกด้วยความอิ่มและฟิน อานน้ำนอนหลับแอร์เย็นฉ่ำ
เริ่มต้นเช้าวันที่สองด้วยการตั้งนาฬิกาปลุกตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเลยามเช้า ตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ซึ่งก็มีความสวยงามไม่แพ้ยามเย็น โปรแกรมวันนี้ก็เป็นการทำกิจกรรมพักผ่อนชิวๆ บนเกาะ ชมความงามของเกาะ และเก็บภาพถ่ายมุมสวยๆในบริเวณโรงแรม
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ ก็ออกตัวปั่นจักรยานจากห้องพักมารับประทานอาหารเช้าที่โซน The Market ซึ่งอยู่ติดกับ Lobby โรงแรม อาหารเช้าของโรงแรมค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่สไตล์ยุโรปยันเอเชีย มื้อนี้ได้ทดลองไข่ Omelette และไส้กรอกต่างๆ รสชาติใช้ได้ แต่ที่อร่อยที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นก๋วยเตี๋ยวสูตรคนไทยนี่แหละครับ น้ำซุปหวานหอม ปรุงรสต้มยำได้กลมกล่อมดี
หลังจากทานอาหารมือเช้าจนอิ่มแล้ว ก็เลยเดินลงมาดูบริเวณชายหาดหน้า Lobby โรงแรม ซึ่ง Sea Plane ไฟลท์เช้าจาก Male (เมืองหลวงของประเทศ Maldives) ลงจอดพอดี อากาศวันนี้ค่อนข้างจะไม่ร้อนมาก มีลมพัดเป็นช่วงๆ จึงถือโอกาสกลับห้องไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำมาลงสัมผัสทะเลในตำนานซักหน่อย
ก่อนจะกลับมาลงทะเลที่ชายหาดหน้า Lobby นั้น ก็ขอแวะ Diving Center เพื่อเช่าอุปกรณ์การ Snokle มาส่องดูปลาซักหน่อย แต่อย่างว่าแหละครับ วันนี้ลมค่อนข้างแรง พอดำลงไปใต้น้ำเลยไม่เห็นอะไรมากมาย นอกจากพื้นทราย เพราะงั้นดูปลาดูจากบนบกลงไปดีกว่า เห็นได้ชัดสำหรับวันลมแรงแบบนี้
หลังจากดำผุดดำว่ายอยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาเที่ยงวันพอดี มื้อเที่ยงก็ย้อนกลับไปกิน Lobster Soup ที่ Sea Grill ใหม่อีกครั้งครับ ด้วยความติดใจ จากนั้น จึงปั่นจักรยานมาดูบรรยากาศของชายหาดฝั่ง Diving Center ซึ่งค่อนข้างเงียบ เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ อากาศไม่เอื้อให้คนออกมาเดินหาดมากนัก
ช่วงบ่ายแก่ๆ ได้เวลาบอกลาห้องพักกลางทะเล เนื่องจากอีก 2 คืน ที่เหลือจะเปลี่ยนบรรยากาศไปนอนห้องริมหาดบ้าง จึงกลับห้องไปเก็บข้าวเก็บของ แล้วขอให้ Zinan ช่วยดำเนินการขนย้ายไปยังห้องพักใหม่ เมื่อเดินทางมาถึง พบว่าห้องพักใหม่ริมหาดก็บรรยากาศดีไม่แพ้ห้องกลางทะเล โดยอยู่ในลักษณะของบังกะโลหลังขนาดปานกลาง ภายในมีห้องนอนและห้องน้ำพร้อมสรรพ รวมถึงมีระเบียงยื่นออกไปในทะเลและสระน้ำจิ๋วเหมือนห้องเดิม
หลังจากย้ายห้องเรียบร้อย จึงออกมาเดินสำรวจหาดแห่งใหม่ใกล้บริเวณบังกะโล ถ่ายภาพเก็บมุมสวยงามเล็กน้อย แล้วเข้าห้องนอนพัก
แดดร่มลมตก ช่วงเย็นได้ปั่นจักรยานกลับไปเดินเล่นที่หาดหลักหน้า Lobby อีกครั้ง ก่อนจะปิดวันด้วยอาหารไทยแสนอร่อยที่ครัวเบญจรงค์
เช้าวันที่ 3 ยังคง concept เดิมครับ ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เปลี่ยนมุมใหม่ โดยฝั่งบ้านริมหาดนี้จะเห็นพระอาทิตย์ค่อนข้างชัดมากกว่าฝั่งบ้านกลางทะเล
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวพร้อมแล้ว วันนี้สามารถเดินไปห้องอาหารเช้าได้สบายๆครับ เนื่องจากห้องอยู่ค่อนข้างใกล้โซน The Market จักรยานก็จอดไว้ที่บ้านนี่แหละครับ
วันนี้อากาศค่อนข้างดี ลมไม่แรงมาก ถือโอกาสลงเล่นน้ำอีกครั้ง
หาดลับที่ซ่อนอยู่ : บังเอิญลองเดินมาทางด้านขวาของ Lobby จะมีทางลงหาดอีกจุดหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่สังเกตคงไม่เห็นว่าลงไปทางนั้นได้ หาดตรงบริเวณนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่มาก มีพื้นที่ให้นอนอาบแดด และลงน้ำทะเลกันได้สบายๆ มองไปไกลๆ สามารถมองเห็นโซนบ้านพักกลางทะเลได้ด้วย
มื้อเที่ยงของวันที่ 3 นี้ ได้ย้อนกลับมาทานอาหารกลางวันที่ครัวเบญจรงค์อีกครั้ง (ติดใจจากมื้อเย็นวานนี้) โดยครัวเบญจรงค์เป็นห้องอาหารไทยที่ทำอาหารได้อร่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเปาะเปี๊ยะ ต้มยำกุ้ง ทอดมัน แต่เมนูโปรดที่ผมได้ลองชิมแล้วต้องสั่งซ้ำสอง ได้แก่ กุ้งผัดพริกแกง (ในเมนูจะไม่ใช่ชื่อนี้) เนื่องด้วยกุ้งตัวใหญ่ และผัดกับพริกแกงได้อย่างลงตัว ทำให้ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมน้ำหนักผมขึ้นมาได้เนี้ยะ ครัวเบญจรงค์ ให้ 10/10 ครับ
ครัวเบญจรงค์ตอนกลางวัน บรรยากาศค่อนข้างสวย เนื่องจากได้จัดให้มีโซนที่นั่งยื่นออกไปในทะเล เพิ่มบรรยากาศความชิล ความโรแมนติกให้มากขึ้นไปอีก
ในช่วงเย็น ผมย้อนกลับมาที่บริเวณชายหาดหลักหน้า Lobby อีกครั้ง เนื่องจากทางโรงแรมได้จัดปาร์ตี้ cocktail และได้เชิญให้ผมได้เข้าร่วมงาน บรรยากาศสบายๆ มีดนตรีสดเล่น พร้อม cocktail ปรุงสดรสชาติยอดเยี่ยม เคล้าบรรยากาศพระอาทิตย์ตก เป็นช่วงเวลาที่สวยงาม ให้อารมณ์ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
ดนตรีสดริมชายหาด ก่อนกลับไปปิดมื้อเย็นสุดท้ายที่ Sea Grill
และแล้วก็ถึงเวลาต้องกลับมาสู่แห่งความเป็นจริง ผมแพ็คกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ 9 โมงเช้า ก่อนที่ Zinan จะมาช่วยขนของไปยัง Lobby โรงแรมเพื่อทำการ Check Out อยู่มาสามวัน เพิ่งเคยเดินเข้ามาบริเวณ Lobby ครับ เนื่องจากวันแรกได้ check in บนท่าเรือแล้วมุ่งหน้าเข้าห้องพักทันที จึงยังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมชม ตัว Lobby ก็เป็นเพิงแบบในรูปแหละครับ เป็น Lobby แบบ Open Air มีพนักงานต่างชาติพูดจาฉะฉานเป็น Reception ได้ลองคุยเลยได้รู้ว่าเขาเป็นคนชอบทะเลครับ ถึงขั้นจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทำงานอยู่บนเกาะ อะไรชีวิตจะมีความสุขขนาดน้าน อย่าทำให้อิจฉา พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปเข้าออฟฟิตนะเฟร้ยยยย
Sea Plane ค่อยๆ แล่นออกจากท่า พร้อมกับพนักงานโรงแรมที่มายืนเป็นนขบวนพาเหรดส่ง โบกมือให้เป็นการอำลา ก่อนที่ Sea Plane จะเลี้ยวออกสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ หัก U Turn 1 ครั้ง แล้วเร่งเครื่องพาผมกลับสู่โลกแห่งความจริงที่ต้องเผชิญกันต่อไป
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)