นี่คือการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา ทริปอาจจะมึนๆงงๆไปบ้าง ก็หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนได้บ้างลองเอาไปปรับใช้กัน (^-^)
เราเลือกไปช่วงกลางเดือนมิถุนายน เพราะความสะดวกและตั๋วเครื่องบินราคาน่าสนใจ ช่วงเดือนมิถุนายนเป็นต้นฤดูร้อน มีฝนแทบทุกวัน จริงๆเราอยากไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีมากกว่าแต่ว่ารอถึงตอนนั้นคงจะไม่ได้ไปอีก ไหนๆก็ว่างแล้ว ไปเลยดีกว่า เครื่องบินเราเลือกจองกับสายการบินหางเหลืองเพราะเวลาดี ไม่เหนื่อย แต่ก็แอบหวั่นๆจากรีวิวสายการบินนี้อยู่ ส่วนตัวเราว่าเครื่องโอเคนะ เครื่องรุ่นใหม่ที่นั่งกว้าง เราชอบที่ปรับกระจกมาก เลือกระดับความมืดของหน้าต่างได้เองในขนาดที่เรายังเห็นวิวข้างนอกอยู่
ที่พักเพื่อนญี่ปุ่นแนะนำว่า Namba กับ Umeda (อุเมดะ) โอเคสุดเพราะต่อรถง่าย เป็นสถานีใหญ่มีรถไฟออกนอกเมืองหลายสาย ที่พักเราอยู่แถว Namba (นัมบะ) เราจองกับ Airbnb ที่พักถือว่าโอเคมากเลย มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่บ้านเลย ราคาก็ย่อมเยาว์กว่าโรงแรม บ้านพักของเราต้องนั่งรถจากสถานีนัมบะไปประมาณ 2 สถานี (180 เยน) เงียบสงบดี เหมาะแก่การพักผ่อน และโชคดีที่เป็นจุดตัดรถไฟใต้ดินถึง 2 สาย บางวันเราเลือกนั่งสายเลี่ยงเมือง (ไม่ผ่านนัมบะ อุเมดะ )เพื่อเลี่ยงการถูกอัดเป็นปลากระป๋องในรถไฟ
ค่าใช้จ่ายของเราโดยประมาณ : ตั๋วเครื่องบิน 18,000 + ค่าที่พัก 12,500 + ค่าpass ต่างๆ 3,640 (20,800 Yen) + ค่าไปกลับสนามบิน 1,400 (4,000 Yen) + ค่ารถอื่นๆ 760 (2160 Yen) รวม 36,300 บาท ต่อสองคน ไม่รวมค่ากิน, ค่าเข้าชมสถานที่และอื่นๆ
ส่วนที่ยากที่สุดสำหรับการจัดทริปนี้คือ การวางแผนซื้อpass ต่างๆ อย่างที่รู้กันญี่ปุ่นมีรถไฟหลายสาย Pass ก็เยอะแยะ เรางมในขั้นตอนนี้นานเป็นอาทิตย์กว่าจะตัดสินใจได้ เราจะสรุปวิธีง่ายๆให้นะ ซึ่งเราก็ได้มาจากรีวิวในพันทิปนี่แหละ
1. ต้องวางแผนให้เสร็จ จะไปที่ไหน วันไหน โดยให้เลือกสถานที่ที่ต้องไป ไล่มาถึงที่ที่เผื่อมีเวลาเหลือ เว็บแนะนำคือ Japan-guide.com ในนี้มีแผนที่ให้ด้วยนะ ปริ๊นออกมาเลยจะได้ดูง่ายขึ้น
2. ศึกษาPass ต่างๆว่าครอบคลุมการเดินทางอะไรบ้าง ครอบคลุมไปถึงสถานที่ที่เราจะไปรึเปล่า เราดูใน Osaka-info และที่เค้ารีวิวกัน คือดูคร่าวๆว่ามีอะไรน่าสนใจ จากนั้นหาข้อมูลในเว็บของมันโดยตรง บางPass ใช้ได้แค่ข้ามเมือง บางอันรวมรถเมล์ ใต้ดินในเมืองนั้นๆด้วย บางอันรวมค่าเข้าชม มีส่วนลด ต้องลองดู
3. เอาข้อ 1 และ 2 มาประกบกัน ดูข้อจำกัดของบัตรต่างๆ เช่น ใช้ติดกันได้มั๊ย มีบริการการเดินทางในจังหวัดนั้นๆหรือไม่ หรือแค่เดินทางข้ามเมือง ส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่
4. ลองคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ โดยวางแผนการใช้พาสไว้หลายๆแบบ แล้วเปรียบเทียบราคาดู รวมถึงดูว่าครอบคลุมในส่วนที่เราจะเดินทางหมดหรือยัง หรือมีค่าใช้จ่ายอื่นๆเพิ่มเติม จำไว้ว่าแบบที่ถูกที่สุดไม่จำเป็นต้องดีที่สุด เราเลือกแผนที่มันครอบคลุมที่สุดคือ ถ้าเดินเที่ยวแล้วเหนื่อยหรือรีบๆก็ขึ้นรถไฟ หรือรถเมล์ได้เลย ถ้าต่างกันนิดหน่อยแนะนำให้เลือกแบบครอบคลุมกว่า จะดีกว่า
5. ข้อนี้สำคัญมาก เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็หยุดคิดมันซะ เตรียมจัดกระเป๋า ลิสต์รายการกิน ช็อป ดีกว่า เพราะยิ่งคิด ยิ่งหา เราก็จะยิ่งเปลี่ยนแล้วมันจะไม่เสร็จสักที พอคิดได้แล้วก็หยุดเลย คนอื่นถูกกว่าช่างเค้าไปเถอะเพราะแผนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
Pass ที่เราใช้
1. Osaka Amazing 2 Days Pass : ใช้เดินทางภายในโอซาก้า 3000 เยน
ข้อดี : รวมรถไฟใต้ดิน ,Osaka loop line (รถเมล์ที่วิ่งในเมือง แต่ไม่เคยได้ใช้) และค่าเข้าสถานที่สำคัญ
ข้อจำกัด : ต้องใช้ติดต่อกัน
เหมาะกับ : คนที่ไปเที่ยวครั้งแรก หรือ เที่ยวในสถานที่ที่รวมค่าเข้าแล้ว คุ้มมากบัตรนี้
2. Kintetsu Pass 2 Days : ใช้เดินทางระหว่างเมืองโอซาก้า-เกียวโต-นารา
ข้อดี : รวมรถเมล์ในนารา ต่อรถใกล้นัมบะ (จากบ้านไป 180 เยน)
ข้อจำกัด : ต้องใช้ติดต่อกัน เส้นทางไปเกียวโตมาจากทางใต้ของสถานีรถไฟเกียวโต ผ่านวัด Toji ไม่ครอบคลุมทั้งเกียวโต ใช้เวลาเดินทางไปเกียวโตค่อนข้างนานและต้องต่อรถ ไม่รวมรถไฟใต้ดินในโอซาก้า
3. Kansai Thru Pass (KTP) : เดินทางข้ามจังหวัดโอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา และอื่นๆ
ข้อดี : รวมการเดินทางภายในจังหวัดด้วย เช่น ในโอซาก้าใช้รถไฟใต้ดินได้ ในเกียวโตรวมการเดินทางทั้งรถเมล์และใต้ดิน ในโกเบรวมการเดินทางบางส่วน ใช้แยกวันได้ ค่อนข้างยืดหยุ่น มีส่วนลดค่าเข้า ร้านอาหาร (แต่ไม่เคยใช้) ขึ้นรถได้หลายสาย เช่น โอซาก้า-โกเบ มีรถไฟ 2 สาย อันนึงใกล้นัมบะ เน้นวิ่งนอกเมือง ไม่ต้องไปเป็นปลากระป๋อง อีกสายที่ อุเมดะ
ข้อเสีย : คิดๆแล้วราคาค่อนข้างสูง ถ้าวางแผนเที่ยวเป็นจุดๆซื้อพาสอื่นคุ้มกว่า
4. Nankai Line : รถไฟต่อสนามบินเข้าเมืองโอซาก้า 1000 เยน
ข้อดี : เชื่อมสถานีนัมบะ ราคารวมรถไฟใต้ดินในโอซาก้าแล้ว
ข้อเสีย : สำหรับคนไปครั้งแรกเราว่ามีหลง คือตัวสถานีแยกจากรถไฟใต้ดินแม้ว่ามีทางเดินเชื่อมใต้ดิน แต่มันเดินไกลมากกกก
******************************************แผนเดินทางของเรา :
Day 1 : Airport – Home : Nankai Line
Day 2-3 : Osaka Amazing Pass for 2 Days
Day 4 : Nara : Kintetsu pass 2 Days
Day 5 : South of Kyoto : Kintetsu pass 2 Days , Nara JR pass
Day 6-7 : Kyoto : Kansai Thru Pass 3 Days
Day 8 : Kobe : Kansai Thru Pass 3 Days
Day 9 : Osaka : subway
Day 10 : Home - Airport : Nankai Line
Day 1 : Arrive Osaka
วันแรกของเราไม่มีอะไรเลย เครื่องลงประมาณ 5 โมงเย็น เลยกะว่าเข้าที่พักหาอะไรกินพอแล้ว เราเลือกซื้อตั๋วรถไฟสายNankai เพราะราคาถูกสุด ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงก็ไปถึงนัมบะ ต่อรถอีกนิดนึงก็ถึงบ้าน ข้อเสียคือ จากNankai line คนที่เยอะเหมือนในการ์ตูน สถานีสยามบ้านเรานี่เด็กๆไปเลย ไปถึงบ้านพักโฮสต์ก็ออกมาต้อนรับพร้อมแนะนำเล็กๆน้อยๆ บ้านที่เราพักมีไวไฟแบบ pocket wifi เจ้าของก็ใจดีให้เราเอาไปใช้ได้ตลอดเวลาที่พัก ประหยัดค่า pocket wifi ได้วันละ 200 บาทแหนะ ข้างๆบ้านมีบาร์ร้านอาหารเล็กๆแต่เราทนกลิ่นบุหรี่ไม่ไหว มื้อแรกเลยฝากท้องไว้กับมินิมาร์ทแถวบ้าน
Day 2 : Osaka
เริ่มต้นทริปด้วย Osaka Castle จุดไฮไลท์ของโอซาก้า ที่สำคัญมันรวมค่าเข้าในพาสแล้ว โชคดีที่อากาศดีแดดแรงเหมาะกับการเที่ยวสถานที่กลางแจ้ง วันที่เรามาเหมือนมีการหาเสียงหน้าปราสาท (ช่วงเลือกตั้งพอดี) ไอศกรีมชาเขียวที่นี่น่ากินมาก แต่รสชาติเราว่าเหมือนร้านไอศกรีมในสวนสนุก (ไม่เน้นคุณภาพ ยังไงก็ขายได้)
ร้านอาหารเช้าในณี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นคาเฟ่ ขายขนมปัง กาแฟ หายากมากๆที่จะเปิดช่วงเช้าๆ ร้านที่เราเจออยู่ข้างแมคโดนัล ขึ้นจากสถานี Tenimachi 4 Chome ออกประตู 1B (ตามแผนที่ที่เค้าแนะนำ) ร้านอาหารสีแดงตรงข้ามสถานีที่ขึ้นมาเลย ส่วนร้านที่เราไปโดนมา เดินเข้าไปหน่อย (ตอนแรกไม่เห็นร้านนี้) ราคาไม่เกิน 500 เยน รสชาติเราว่ากลางๆนะ เจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ใจดีบริการดีเข้าใจต่างชาติ
สถานที่ที่สอง โดนรีเควสจากคุณนายแม่ขอกิจกรรมในร่มเพราะแดดมันแรงมากๆ นางเริ่มเพลียกับแดด เลยไปจบกันที่ Umeda แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร เราเลือกนั่ง Hep Five Wheel ชิงช้ายักษ์สีแดงที่ห้าง Hep Five (รวมค่าเล่นในบัตร) เอาจริงๆเราไม่ค่อยชอบ Umeda เลย มันซับซ้อนมาก พอออกจากรถไฟได้ก็เป็นทางเดินใต้ดินแยกย่อยหลายทาง เหมือนเดินในห้าง ห้างหนึ่งแต่มันไม่ใช่ พอโผล่ขึ้นบนดินได้ก็งงอีกเราเดินมาจากตรงไหน กว่าเราจะเข้าใจผังเมืองที่นี่ก็เกือบวันกลับแล้วล่ะ
ร้านอาหารที่แนะนำมากๆ คือ ร้านราเมง Arauma Dou ป้ายร้านที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่น (ชื่ออังกฤษได้จากการถามเพื่อนญี่ปุ่นมา) หลักการเลือกร้านอาหารของเราคือมีคนต่อคิวเยอะและเน้นเป็นคนพื้นเมือง 555 ร้านดงร้านดังนี่ไม่มีในลิสต์เลย เพราะเราไม่อยากแพลนทริปแบบแน่นเกินไป ร้านนี้จัดว่าดีเยี่ยมเป็น The Best ในทริปเลย อร่อยจริงๆคนแน่นร้านตลอด พิกัดร้าน อยู่ในสถานีรถไฟใกล้ๆ Hankyu Kobe line ข้ามถนนจาก Hep Five มาจะมีร้านราเมงสีขาวคิวแน่น หน้าร้านมีเครื่องกดเมนูอาหาร คนต่อคิวส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นเราเลยผ่าน เดินไปนิดมีร้านคาเฟ่ ออกแนวร้านวนิลาแถวสยาม อยู่หน้าซอยเล็กๆเดินเข้าไไม่ไกลก็ถึง Arauma Dou ทางค่อนข้างซับซ้อนเราค้นพบโดยบังเอิญ ถ้าเข้าซอยแล้วร้านค่อนข้างหาง่ายเพราะเป็นร้านราเมงที่คิวยาว บรรยากาศแบบญี่ปุ่นโบราณ คือ เน้นขายอาหาร ไม่เน้นแต่งร้าน 555 ของตกแต่งส่วนใหญ่เป็นไม้บรรยากาศดูดี
หลังมื้ออาหารเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ เลยแวะไป Housing and living museum การจำลองบ้านสมัยก่อนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ นั่งรถไฟสายสีม่วงจาก Umeda ไป 2 สถานี ลงที่ Tenjibashi 6 chome ที่นี่มีให้เช่าชุดกิโมโนด้วยนะ 300 เยนต่อคน พนักงานเค้าแนะนำให้ไปก่อนเวลาเปิดครึ่งชั่วโมงเพราะมันจำกัด 300 ชุดต่อวัน เราไปบ่ายๆแล้วเลยอด ข้างๆนี่เป็นซอยละลายทรัพย์ที่คนไทยตั้งชื่อให้ จดพิกัดไว้วันหลังๆคอยมาช๊อป
ที่สุดท้ายของค่ำคืนนี้ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Umeda Sky Building นั่งรถไฟไปลงสถานี Umeda เดินต่อไปอย่างไกลประมาณ 2-3 กิโลได้ ไม่มีการขนส่งมวลชนใดๆไปถึงนอกจากพี่แท๊ก(ซี่) ฉะนั้นต้องทนเดินไป พอไปถึงโอเคล่ะวิวสวยดี เราไปถึงช่วงเกือบเย็นอีกประมาณชั่วโมงครึ่งพระอาทิตย์ถึงจะตกดิน ผู้คนมาจับจองที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินกันพอสมควร
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยฝนตกพร่ำๆ วันนี้ขอล่องลงใต้ ไป Tennoji เริ่มกันที่ Shitennojo Temple วัดเก่าแก่กับเจดีย์สามยอด ที่กำลังปิดปรับปรุงไปเกือบครึ่ง ไปต่อกันที่ Tennoji Tower ย่าน Shinseikai ทางไปต้องเดินอย่างเดียวไม่มีรถไถึงแต่ก็ไม่ไกลกันมากประมาณ 2 แยกไฟแดงใหญ่ ระหว่างทางก็ลัดเลาะไปเรื่อยๆแอบแวบเข้าไป Isshinji temple วัดอีกแห่งที่ติดกับสวนสาธารณะและสวนสัตว์ มีคนมาไหว้พระเยอะมาก ควันธูปนี่โขมงเลยผิดกับวัดแรกที่ออกแนวโบราณสถานสำหรับนักท่องเที่ยว อาหารขึ้นชื่อของ Shinseikai เป็นพวกของทอดเสียบไม้ ตัดเลี่ยนด้วยเหล้า เบียร์
ถิ่นนี้ออกแนววัยรุ่นมั่วสุมนิดๆ ถ้าใครดูซีรี่ญี่ปุ่นก็แบบแก๊งนักเลงคุมถิ่นไรงี้ ภาพที่ตลกคือ ก่อนร้านเกมส์จะเปิดมีคุณลุงวัยเกษียรต่อคิวหน้าร้านเกมส์ แล้วก็ร้องโวยวายประมาณว่าถึงเวลาเปิดแล้ว เปิดประตูสักทีสิ 5555 (เรามโนจากท่าทาง)
ตึกด้านหลังคือ Tennoji Tower เป็นตึกชมวิวขนาด 5 ชั้น จะเรียกว่าตั้งอยู่กลางถนนก็ไม่เชิง สองชั้นบนสุดเป็นที่ชมวิวถึงตึกจะไม่สูงมากแต่ก็เห็นวิวโดยรอบ นอกจากชมวิวแล้วก็เน้นขายของกุ๊กกิ๊ก และ ขนมยอดฮิตอย่าง Pocky (ราคาแพงกว่าของนอกนิดหน่อย) เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ Pocky เล็กๆ Pockyบางอย่างหาของนอกไม่ได้ เราซื้อ Pocky แบบแถมโมเดลนักเบสบอล แต่ซื้อมาแค่นิดเดียวเพราะนางไม่ขายเป็นชุดต้องซื้อแล้วลุ้นเอาเอง ขนมข้างในก็ทิ้งไปตามระเบียบ 55555
ชมวิวเสร็จเรียบร้อยไปต่อกันที่ Bay Area นั่งชิงช้ายักษ์ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ที่นี่มีให้เลือกกระเช้า 2 แบบ แบบธรรมดากับแบบใส แบบใสคือใสรอบด้าน ใสยันเก้าอี้เลย ที่นั่งแบบนี้มีประมาณ 5-6 กระเช้า (จากที่ยืนนับคร่าวๆ) ส่วนอีกแบบก็เป็นแบบทั่วๆไป มีกระจกระดับสายตาให้มองเห็นวิวด้านนอก เราเลือกนั่งแบบใสและความโชคดีของเราคือไม่มีคนต่อคิวเลย แต่พอวนครบรอบลงมาเห็นคิวยาวเยียดเลย
ชิงช้ายักษ์ หรือ Tempazan Giant Ferris ตั้งอยู่ติดกับ Lego land ที่เป็นเหมือนห้างเล็กๆเน้นกิจกรรมของเด็กเล็ก และร้านอาหารแบบฟู๊ดคอร์ด เดินออกจากห้างมาหน่อยเป็น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แนะนำว่าให้มาวันธรรมดาจะดีกว่า เสาร์-อาทิตย์คิวยาวเหยียด ด้านล่างของพิพิธภัณฑ์เป็นจุดขายตั๋วล่องเรือ Cruise Ship Santa Maria ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง แนะนำให้มาก่อนเรือออก 15 นาที จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอรอบต่อไป ช่วงหน้าร้อน Santa Maria จะเปิดรอบพิเศษคือรอบพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 6โมงครึ่ง
ที่สุดท้ายของวันเราเลือกนัมบะเป็นสถานที่สุดท้าย กับที่ที่เราอยากทำมากที่สุด คือ ล่องเรือชม Dontonburi หรือแถวป้ายกูลิโกะที่ทุกคนรู้จักนั่นแหละ ความดีงามมันอยู่ตรงที่ช่วงหน้าร้อนจะมีรอบดนตรี Jazz เพิ่มขึ้นมา ปกติรอบดนตรี Jazz จะเปิดให้จองคิวตอนเที่ยงแต่วันนี้อากาศไม่ดีตลอดช่วงบ่ายเลยโดนยกเลิก และเป็นโชคดีของเราอีกอย่างที่มันกลับมาเปิดให้บริการตามปกติตอนเรามาถึงพอดี
ปิดท้ายของวันด้วยการแช่น้ำพุร้อนที่ Natural Open-air Hot Spring Spa Suminoe ย่านSuminoe จากรถไฟใต้ดินแอบเดินไกลอยู่เกือบแยกไฟจราจร ข้างในมีบ่อแช่ตัวหลายแบบมาก แนะนำว่าให้เอาผ้าเช็ดตัวไปเอง ไม่อย่างนั้นต้องเสียค่าเช่า สัมภาระก็เอาไปน้อยๆเพราะทุกอย่างต้องใส่ล็อกเกอร์แบบเสียตังค์ ถ้าใครอยากเอาแชมพู ครีมอาบน้ำไปด้วยก็ได้ กลับไปจะได้ไม่ต้องอาบอีก
ปล. สถานที่ทุกที่ในโอซาก้าเราเน้นแบบค่าเข้ารวมในพาสแล้ว จริงๆเราซื้อแบบ 2 วันก็ยังเก็บไม่หมดเลยมันเยอะมาก
Day 4 : Nara เมืองน้องกวาง
วันนี้ตั้งใจจะไปโกเบแต่คุณนายแม่ขอร้องอยากไปทริปสบายๆ เลยเปลี่ยนแผนไปนาราแทน ตื่นเช้ามาด้วยบรรยายกาศครึ้มๆ มีเมฆบ้าง แอบหวั่นใจฝนจะตกอีกมั๊ย เราเดินทางโดย Kintetsu line ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงก็ถึงนารา เราชอบสายนี้นะ มันลงใจกลางนารา ขึ้นจากสถานีก็ถึงแหล่งของกินเลย 5555 แถมบัตรนี้ยังใช้กับรถเมล์ในนาราได้ด้วย จริงๆแล้วการเที่ยวในนาราสามารถเดินเอาก็ได้ เพราะที่เที่ยวหลักๆมันติดๆกัน แต่เราเลือกนั่งรถเมล์ ประหยัดแรงไว้
ที่แรกเริ่มที่ Daitoji Temple วัดเก่าแก่หลายร้อยปี วัสดุส่วนใหญ่ถูกสร้างด้วยไม้อลังการงานสร้าง ค่าเข้าชมวัด 500 เยน ทางเดินไปวัดข้างขวามือคือ Nara Park มีน้องกวางเต็มไปหมดเลย ส่วนด้านซ้ายเป็นร้านขายของ เลียบถนนเป็นร้านอาหารทั้งแถบ ที่สี่แยกไฟแดงจะมีพี่ๆทำหน้าที่เป็น Information ถ้าเราไปยืนหน้างงแถวนั้นพี่แกจะเดินเข้ามาหา แล้วแนะนำตัวว่าเป็นแหล่งข้อมูลนะถามได้ เป็นหนึ่งกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่เราประทับใจ
หลังมื้ออาหารเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ เลยแวะไป Housing and living museum การจำลองบ้านสมัยก่อนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ นั่งรถไฟสายสีม่วงจาก Umeda ไป 2 สถานี ลงที่ Tenjibashi 6 chome ที่นี่มีให้เช่าชุดกิโมโนด้วยนะ 300 เยนต่อคน พนักงานเค้าแนะนำให้ไปก่อนเวลาเปิดครึ่งชั่วโมงเพราะมันจำกัด 300 ชุดต่อวัน เราไปบ่ายๆแล้วเลยอด ข้างๆนี่เป็นซอยละลายทรัพย์ที่คนไทยตั้งชื่อให้ จดพิกัดไว้วันหลังๆคอยมาช๊อป
ที่สุดท้ายของค่ำคืนนี้ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Umeda Sky Building นั่งรถไฟไปลงสถานี Umeda เดินต่อไปอย่างไกลประมาณ 2-3 กิโลได้ ไม่มีการขนส่งมวลชนใดๆไปถึงนอกจากพี่แท๊ก(ซี่) ฉะนั้นต้องทนเดินไป พอไปถึงโอเคล่ะวิวสวยดี เราไปถึงช่วงเกือบเย็นอีกประมาณชั่วโมงครึ่งพระอาทิตย์ถึงจะตกดิน ผู้คนมาจับจองที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินกันพอสมควร
ต่อกันที่ Shopping Street จากสถานีรถไฟ Kintetsu line ขึ้นมาก็เจอเลย จาก Daitoji Temple นั่งรถมา 3-4 ป้าย ที่นี่เป็นดงของกินอีกแหล่งแต่จะออกแนวร้านในเมือง ราคากลางๆไม่แพงหูฉี่ ร้านแนะนำคือร้านโมจิทีวีแชมเปี้ยนอันเลื่องชื่อทำกันสดๆหน้าร้าน ตอนซื้อมาแป้งยังอุ่นๆอยู่เลย อร่อยมาก เนื้อโมจิหยาบๆ มีความหอม ความหนึบ ไม่หวาน ไม่เลี่ยน ถูกใจคุณนายแม่ถึงกลับซื้อกลับมากินต่อ
ข้างๆร้านโมจิมีร้านราเมงที่คนเข้าคิวยาวเยียด เรายืนต่อคิวประมาณครึ่งชั่วโมงแต่คิวไม่ขยับเลย เราเลยถอดใจกะว่าไปเที่ยวก่อนค่อยกลับมากินปิดท้ายก่อนกลับบ้านแต่สุดท้ายก็ไม่ได้กิน ถ้ามีโอกาสต้องไปจัดให้ได้
จากร้านโมจิมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ คือ Three – Story Pagoda เป็นเจดีย์สามชั้น ด้านหน้ามีบึงสระน้ำคล้ายๆกับว่าเป็นสวนสาธารณะ บางส่วนของที่นี่เปิดให้ชมฟรีด้วย
Day 5 : Kyoto (Southern)
เริ่มต้นทริปของวันด้วยความกังวลเพราะแอปมันกผนตกหนักทั้งวัน แต่เอาเข้าจริงๆไม่เจอฝนเลย แถมอากาศยังดีจนร้อน ท้องฟ้าแจ่มใสถ่ายรูปขึ้นกล้องที่สุด เราเริ่มที่แรกด้วย Toji Temple อยู่ทางใต้ของเกียวโตสเตชั่น เงื่อนไขคือต้องมาวันนี้เท่านั้น ทุกๆวันที่21 ของเดือน จะมีตลาดนัดที่ลานวัดโทจิ ตั้งแต่เช้ายันสี่โมงเย็น ตัวเราเองไม่ได้สนใจวัดเท่าไหร่หรอก ตลาดนี่สิที่ดึงดูดเรา เราเดินทางโดยบัตร Kintetsu ที่ต้องใช้ต่อเนื่องกัน เดินเข้าไปครั้งแรกคิดว่าดงขายของเก่าพวกเครื่องชาม เสื้อผ้าพื้นเมืองแนวธรรมชาติแบบเส้นใยเฉพาะของญี่ปุ่น อารมณ์แบบเดินงานโอทอปบ้านเรา แต่พอเดินไปด้านในก็ต้องตะลึงร้านจะเยอะไปไหน ตลาดนี่ขายของหลายอย่างมาก ตั้งแต่อาหารพื้นเมืองทั้ง โมจิ ของแห้ง ชา สาหร่ายวากาเมะอบแห้งนี่เห็นบ่อยมาก เครื่องเคียง ผลไม้อบแห้ง ( มีบลูเบอร์รี่ด้วย) รวมไปถึงของสดอย่างทาโกยากิ มันทอด โอโกโนมิยากิ ด้านหลังสุดเป็นตลาดต้นไม้ นอกจากนี้ก็มีร้านกระเป๋าแบรนด์ทำเอง แต่บางร้านแบบเหมือนเคยเห็นที่ไทยเลย มีงานศิลปะ ของจุกจิกตกแต่งบ้าน กว่าเราจะเดินครบก็หมดไปครึ่งวันแล้ว
เห็นเวลาเหลือไม่มากเลยไป Fushimi Inari Shrine หรือ ศาลเจ้าจิ้งจอก ที่มีเสาสีแดงเรียงกันเยอะๆ เรานั่งรถไฟต่อไปลงที่สถานีเกียวโตจากนั้นซื้อบัตร Nara JR Pass แบบเที่ยว 140 เยน ไปถึงศาลเจ้า ที่เลือกJR เพราะมันถูกสุด และเดินใกล้สุด ลงจากสถานีก็ถึงทางเข้าศาลเจ้าเลย ถ้าจำไม่ผิดข้างบนมีทางเดินอยู่ 5 ชั้น เราเดินไปได้ถึงขั้นที่ 2 ก็บาย โบกมือลาแล้ว เหนื่อยโฮก ทางเดินเป็นแบบขั้นบันไดไตร่ขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ ข้างบนมีเพลิงบ้านคนและร้านขายของ 2 ร้าน ถ้าเดินไปถึงสุดแล้วมืดนี่เหมือนหลงป่าเลย
Day 6 : Kyoto ( Eastern)
โปรแกรมวันนี้ตามเสียงเรียกร้องจากคุณนายแม่ เริ่มกันที่วัดน้ำใส หรือ Kiyomizu dera เราใช้ Kansai Thru Pass สามารถเลือกเดินทางได้ 2 สายปลายทางคือที่เดียวกัน เรานั่งสาย Keihan เพราะใกล้บ้านกว่า ไปลงที่ Gion (อีกสายจะผ่าน Kyo Stn. และมาสุดสายที่ใกล้ๆ Gion เหมือนกัน) จาก Gion ต่อรถเมล์สาย 207 ไปปรมาณ 2-3 ป้ายรถก็ถึงวัด ไม่ว่าจะขึ้นมาจากประตูไหนให้มองหาศาลเจ้าแดงๆตั้งอยู่เป็นทางสามแพร่งพอดี ให้ไปขึ้นรถเมล์ที่มุ่งหน้าไปทางศาลเจ้า
ระหว่างทางเดินขึ้นต้องปีนเขาสักหน่อยดีที่มีร้านขายขนมของฝากเต็มสองข้างทางเลยเดินเพลินๆ เหนื่อยก็แวะได้ตลอดทาง วัดน้ำใสมีชื่อเสียงด้านบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีสามสายคือ ความรัก ร่ำรวย สุขภาพ ซึ่งเราไม่รู้ว่าอันไหนหมายถึงอะไร คุณนายแม่เคยมากับทัวร์ และนางก็จำไม่ได้แล้ว 5555 (จะพูดเพื่อ)
ตอนลงก็ลงทางเดิมแต่จะมีแยกเล็กๆเดินทะลุไปศาลเจ้าสีแดง (Yasaka Shrine) ที่ผ่านมาได้ ระหว่างทางเดินเต็มไปด้วยบ้านโบราณและร้านขายของฝาก ถนนคนเดินสายนี้เรียกว่า Hagashiyama จากศาลเจ้าจะเดินหรือนั่งรถไปป้ายนึงก็ได้จะถึง Gion แหล่งร้านอาหารและเกอิชา ร้านส่วนใหญ่จะเปิดช่วงเย็นราคาอาหารก็สูงใช้ได้
ถ้าไม่อยากลงที่ Gion (กิออน) ให้นั่งรถต่อมาอีกป้ายนึงจะถึง Nishiki Market แหล่งช๊อปปิ้งของเมือง ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารราคาปกติ และร้านขายของ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของห้างสรรพสินค้า เมนูอาหารกลางวันวันนี้คือข้าวหน้าปลาดิบ ร้านนี้เป็นอีกร้านที่แนะนำอาหารราคาไม่แพง คุณภาพเยี่ยม ร้านที่เราเลือกเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในหลืบที่บังเอิญเราเดินหลงเลยเจอเข้า ร้านชื่ออะไรไม่รู้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเป็นตึกแถวห้องเดียว อยู่ข้างๆ Matsuya Kawaramachi ที่ขายข้าวหน้าเนื้อทอด ด้านในตกแต่งง่ายๆโดดเด่นด้วยรูปถ่ายดาราที่มาร้านติดเรียงไว้จนจะเต็มพนังไปด้านนึง ถึงคนไม่เยอะไม่ต้องรอคิวแต่ก็มีลูกค้าเข้ามาตลอดเวลา
จานนี้ไม่ถึง 1,500 เยน ไม่รู้ว่าถูกรึเปล่าแต่คุณภาพยอมใจเลย >>>>>>>>>>>>>
Day 7 : Kyoto (Western & Arashiyama)
วัดทอง หรือ Kinkakuji เป็นที่แรกของวัน ตัดสินใจพลาดไปนิดตรงเลือกนั่งรถเมล์เมื่อยตูดมากเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ แต่ที่ไม่นั่งใต้ดินเพราะ 1.เอี่ยนมากๆๆๆ ไปไหนก็นั่งแต่รถไฟ พอมีรถเมล์ก็ขอรถเมล์แล้วกัน 2. สถานีใกล้สุดก็ต้องต่อรถเข้ามา พอมาถึงก็ใจชื้นล่ะมีนักท่องเที่ยวเยอะอยู่ ก่อนเข้าวัดเราขอเติมพลังกันสักหน่อย
เดินหาร้านข้าวอยู่สักพักก็เลือกร้านราเมงที่มีปลาไหล สมองไม่รับรู้อะไรแล้วหลังจากเห็นปลาไหลหน้าร้าน 555 และมันก็ดันเปิดอยู่ร้านเดียวร้านอื่นเปิดหลัง 11 โมง คนในร้านมีอยู่ 1 โต๊ะ ร้านตกแต่งเรียบง่าย กลิ่นไอความป๊อปปูลาของร้านไม่มีเลย ในใจคิดว่าไม่อร่อยแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ร้านนี้ดีดเด้งตัวเองมาเป็น Top 2 สำหรับทริปนี้ไปเลย อาหารน่าตาธรรมดาเหมือนจะไม่มีอะไรมากไปกว่าเส้น ปลาไหล และน้ำซุป แต่อร่อยเว่อร์ เส้นกึ่งแข็งกึ่งเหนียว ปลาไหลรสสัมผัสหวาน กับน้ำซุปหวานกลมกล่อม ลงตัวมาก ถ้าไม่อิ่มนี่เบิ้ลสอง
อิ่มท้องพร้อมลุย เราเดินไปถึงที่ซื้อตั๋วแล้วแต่เห็นเมฆครึ้มๆลอยมาท่าไม่ดี เลยตัดสินใจไม่เข้าไปดีกว่าเดี๋ยวติดฝนแล้วจะไม่สนุก เลยตัดสินใจต่อรถไป Arashiyama อีกหนึ่งสถานที่ที่จะต้องไป การเดินทางนั่งจากวัดทองสาย 59 ประมาณ 1 ชั่วโมง เราเลยเลือกนั่งรถไปลงรถไฟที่ใกล้ที่สุด ผลคือใช้เวลาพอๆกับรถเมล์ตรงไปเลย หึหึ อ้อ ด้านหน้าวัดมีร้านขายไอศกรีมชาเขียวที่เราว่าไม่อร่อยเลย ถ้าคนชอบชาเขียวเข้มๆแบบเราร้านนี้ไม่ผ่านอย่างแรง อารมณ์ร้านไอศกรีมในสวนสนุกอีกแล้ว
Arashiyama เป็นเมืองเล็กๆ มีความเงียบสงบ ร่มรื่น อากาศจะชื้นๆหน่อยเพราะติดภูเขา อารมณ์แบบไปเที่ยวเมืองกระเหรี่ยงบ้านเรา มีสายน้ำ มีภูเขา มีผู้คน ระบบขนส่งเข้าถึง ความวุ่นวายแทบจะไม่มี เราเที่ยวแค่ตัวเมืองเดินวนรอบๆเก็บบรรยายเอาไม่ได้นั่งรถต่อไปวัดไกลๆ ที่นี่มีป่าไผ่ให้เดินเที่ยวเล่น ถ่ายรูปเพลินๆ แต่ยุงค่อนข้างเยอะและดุ เหมือนยุงป่าบ้านเราปากทะลุกางเกงยีนได้ 55555
ตอนแรกตั้งใจจะมานั่งรถไฟสายโรแมนติก หรือ Sagano Railway แต่อย่างที่บอกเอียนรถไฟมาก ไม่ไหวแล้ว เลยเปลี่ยนไปเป็นเรือแทน แต่ก็ไม่เห็นมีใครนั่งเลย แถมอากาศเหมือนฝนจะตกตลอดเวลา แต่ก็ไม่ตกเลยนะ ออกแนวมีเมฆลอยมาให้เตรียมร่มแล้วก็ลอยไป มีแดดออกบางช่วง
จากปลาไหลโซบะชามกลางๆที่ทำให้หนังท้องตึงได้ถึงบ่าย ร้านอาหารข้างทางเราเลยไม่ได้เหลียวมอง แต่กระนั้นแลมีร้านไอศกรีมน่าโดนอยู่ร้านนึง ชื่อร้าน Yuba พิกัดร้านอยู่เยื้องๆวัด Tenryuji ร้านจะอยู่หัวมุม ถัดจาก Arashiyama Main Station ไปสองสามร้าน หน้าร้านมีพนักงานทำฟองเต้าหู้สดๆโชว์ เมนูอาหารร้านนี้เน้นทำจากเต้าหู้ ไอศกรีมก็เช่นกัน เราสั่งรสเต้าหู้ รสชาติเข้มข้น เนื้อสัมผัสข้นและเต็มมาก ไม่ค่อยมีกลิ่นของเต้าหู้นะ ส่วนคุณนายแม่สั่งทูโทน ชาเขียวกับเต้าหู้ ในส่วนของชาเขียวก็เข้มมัชฉะสะใจมาก ราคาโคนละ 300 เยน ไม่แพงเลย (ราคาต่ำสุดของไอศกรีมเท่าที่พบเห็น) รสชาตินี่ให้เต็มร้อย ถ้าไม่อิ่มนะคงลองอาหารไปแล้วล่ะ
ตอนกลับเราเปลี่ยนมานั่งรถรางที่สถานี Arashiyama Main Station ข้างๆร้านไอศกรีมนั่นแหละ รถรางน่ารักมาก มีขบวนเดียวขึ้นก่อนจ่ายทีหลังเหมือนรถเมล์ เราคิดว่าเป็นรถหวานเย็นแต่เปล่าเลย ประมาณ 40 นาทีก็ถึงใจกลางเมืองแต่ต้องต่อรถสัก 2-3 ป้าย หรือเดินไปประมาณ 3 บล็อคถนน จะถึง Nishiki Market เราชอบบรรยากาศระหว่างทางมันเป็นบ้านคน มีรั้วกั้นรางรถไฟ เป็นรถไฟที่เรียกว่ารถรางจะดีกว่า วิ่งๆปตามรางติดไฟแดงบ้างตอนใกล้ตัวเมือง ที่สำคัญไม่มีลงดินให้เวียนหัว
ระหว่างทางเดินจากสถานีไป Nishiki Market เราเห็นว่ามันใกล้นิดเดียวเลยเลือกที่จะเดินที่ไหนได้ เมื่อยมากค่ะ ระหว่างทางเราเจอร้านขายกับข้าวร้านเล็กๆที่กับข้าวแน่นร้านมาก ราคาย่อมเยาว์ มื้อนี้เราได้ข้าวกล่อง + ไก่ทอดขนาดเดียวกับไก่ทอดไต้หวัน + คาราเกะ(มันทอด) + แฮมเบิร์กหมูขนาดเล็กในแพ็ค + องุ่น ราคารวมภาษียังไม่ถึงพันเยนเลย ส่วนรสชาติอร่อย
ก่อนกลับโอซาก้าเราแวะไปชมวิวที่ Pontocho and Kamogawa River ทางเดินเลียบคลองอยู่ระหว่าง Nishiki Market กับ Gion ตอนเย็นๆร้านอาหารจะเปิดไฟทำให้บรรยากาศต่างจากตอนกลางวัน
ส่งท้ายเกียวโต : เกียวโตเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักเมืองหนึ่ง ที่นี่มีนโยบายศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว คล้ายๆกับนารา แต่ที่นี่ดูเป็นจริงเป็นจังมากกว่า ตามซอกหลืบของตึกจะมีห้องแถวเล็กๆเป็นศูนย์นักท่องเที่ยว ตามป้ายรถเมล์หลักๆอย่างเช่นแถว Nishiki Market ที่รถเมล์แทบทุกสายต้องผ่านทางนี้ จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเป็นชายหญิงวัยเกษียณ รู้สึกว่าเค้าใช้ทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างคุ้มค่ามาก
Day 8 : Kobe
วันนี้เริ่มต้นทริปด้วยความสับสบไม่รู้จะเริ่มที่ไหนก่อนดี ใจอยากไปนั่งกระเช้า แต่ด้วยความมึนๆงงๆ บวกกับความล้าหลายวันเลยตัดสินใจเริ่มทริปที่ Kitano ย่านหมู่บ้านฝรั่งกันก่อน เดินยังไม่ทันไร ฝนตกปรอยๆ เดินไปอีกนิดซู่ซ่าลงมา ดีที่ด้านบนมีที่ให้หลบฝน ค้างอยู่บนนั้นชั่วโมงกว่าๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนคุณนายแม่ตัดสินใจว่าไปเถอะ ไปซื้อร่มข้างล่างเอา
และนั่นแหละโกเบทริปของเรา พอลงมาข้างล่างฝนตกบ้างหยุดบ้างตลอดเวลา บรรยากาศรวมๆในเมืองโกเบเหมือนเมืองที่เคยเจริญในยุคชาติตะวันตกรุ่งเรือง บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างออกแนวร่วมสมัยแต่คงความวินเทจไว้ สำหรับเราเราว่าเป็นเมืองที่สกปรก ค่าครองชีพสูง อาหารราคาแพง
ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปอีกแต่ขอแบบฝนไม่ตกนะ
Day 9 : Shopping day in Osaka
วันนี้เราตั้งใจว่าเป็นวันช๊อปปิ้งและเก็บตกในโอซาก้า แหล่งช๊อปหลักๆก็ Dontonburi ตรงป้ายกูลิโกะแถวนัมบะ เดินแถวนี้ก็ขาลากแล้วซอยเล็กซอยน้อยเยอะไปหมด อีกที่ก็อุเมดะ ที่ช๊อปในอุเมดะส่วนใหญ่ออกแนวร้านขึ้นห้างแบบพวกยูเนี่ยมมอลล์บ้านเรา
แพลนอีกอย่างของวันคือ นัดเจอเพื่อนญี่ปุ่น เพื่อนพาเราไปกินร้านราเมงคอกอันเลื่องชื่อ คิวยาวเหยียดเป็นวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวซะมากกว่า สำหรับเรานะรสชาติไม่ค่อยเท่าไหร่ออกแนวราเมงธรรมดาราคาแพง รสชาติไม่โดดเด่นเลย แต่ก็นะต่อมรับรสเราอาจจะไม่เหมือนชาวบ้านเขา
Day 10 : Den Den Town
วันสุดท้ายบอกลาญี่ปุ่น ไหนๆก็ไหนๆแล้วยังไม่ได้ของที่ระลึกให้ตัวเองเลยเมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาสิ่งแรกที่คิดได้คือ ซีดีผู้ชายเกาหลี 55555 ความเป็นติ่งเริ่มมา เมื่อวานเพื่อนพาไปดูที่ Tower Record อุเมดะ เราว่ามีเยอะ ครบ แต่แพง เทียบกับราคาหิ้วเข้าไทยยังถูกกว่าเลย ก่อนกลับขอจัด Den Den Town หน่อยล่ะกัน Den Den Town เป็นแหล่งขายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และอนิเมะทั้งรูปแแบการ์ตูน โมเดล ซีดี ที่นี่มีหมด เดินๆไปก็ออกแนวคลองถมบ้านเรา
ปิดท้ายทริปด้วยข้าวหน้าปลาดิบแบบฟินๆที่ใต้ดินสถานีนัมบะส่วนเชื่อมต่อรถไฟไปสนามบิน พนักงานแนะนำการกินที่ถูกวิธีนั้นมีอยู่ 3 แบบ แบบแรกกินไปเลยทั้งข้าวและเครื่อง แบบที่สองบีบเลมอนลงไปเพิ่มรสชาติ และแบบสุดท้ายราดน้ำซุปลงไปนิดนึงให้พอขลุกขลิก ขั้นตอนการกินแลดูเยอะเพิ่มมูลค่าไปอีก
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)