รีวิว

ยื่นใบลาแล้วพากันไปญี่ปุ่น Kyushu "บันทึกการเดินทาง ภูมิภาคที่คุณต้องหลงรัก" กระทู้รีวิว

ญี่ปุ่น (คิวชู)
วันออกเดินทาง 14/02/2016
วันเดินทางกลับ 24/02/2016
จำนวนผู้ร่วมทริป ผู้ใหญ่ 2 คน
งบประมาณเฉลี่ยต่อคน 30,001 - 40,000 บาท
บันทึกเพิ่มเติม สวัสดีค่ะ ขอออกตัวก่อนเลยนะคะ ว่าเราไม่ใช่เซียนเขียนรีวิว อาจจะนำเสนออะไรบางอย่างผิดพลาดไปบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เนื่องจากเราได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศที่เชื่อว่าทุกคนไฝ่ฝันอยากจะไปเหยียบซักครั้งในชีวิต เราก็อยากมาเล่า แบ่งปันประสบการณ์ และเก็บรีวิวนี้ไว้เป็นบันทึกการเดินทางของเราค่ะ

เราเป็นคนที่ชอบเที่ยวมากๆ แต่ไม่เคยคิดจะเขียนรีวิวเลย พอมีโอกาส ก็ เอ้าา ลองเขียนกันดูซักตั้ง เพราะที่ผ่านมาส่วนมากเราจะเดินทางกับทัวร์ หรือไม่ก็ไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งเรามีหน้าที่แค่เก็บกระเป๋าเท่านั้นจริงๆ ไม่ต้องเตรียมแพลนอะไรเล้ยยย ออกแนวทำนองว่า (เพื่อนพาไปไหนชั้นก็ไปนั่นแหละ 555+) แต่คราวนี้เพื่อนร่วมอุดมการไม่มีใครว่างกับเราเลย ทำไงดีล่ะทีนี้ ชั้นอยากไปเที่ยวแล้ววววว

เมื่ออาแปะลงตั๋วถูกๆมาให้ยลโฉมแล้ว เราจะช้าอยู่ทำไม ใช่ม๊าาาา กดจองเลยดีกว่า ตอนนั้นในใจก็คิดนะ แล้วชั้นจะไปกับใครล่าาา ซึ่งช่วงตั๋วถูกเป็นช่วงวาเลนไทน์พอดี๊พอดี จะรอไรล่ะคะ จองเผื่อแฟนไปเลย ลากแฟนไปด้วย โดยไม่ได้ถามสุขภาพซ๊ากกคำ 555
74K views
วันที่
1

ครั้งนี้เราจองจั๋วล่วงหน้าประมาณ 7 เดือนได้ค่ะ กว่าจะเดินทาง ตอนจองเราไม่ได้ถามแฟนเลยว่าอยากไปไหน รู้ตัวอีกทีตัดบัตรไปแล้ว 555+ เรารวบรวมความกล้าประมาณ 1 เดือนได้ แล้วเดินไปบอกแฟนว่า ตัวเองเค้าจองตั๋วไปเที่ยวนะ 2 ใบ (เอ้ออ เอาซิอยากไปไหนล่ะจองเลย) ก็จะมาบอกเรื่องนี้แหละว่าจองไปแล้ว (อ่อ ได้ๆ ไปวันไหนล่ะ) ไปญี่ปุ่น คิวชู 11 วัน (ห๊ะะะะ อะไรนะ) เม่าตกใจ แล้วเราก็ฟิ้ววว รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวโดนบ่น 555+ สุดท้ายภาระต้องตกมาอยู่ที่เรา ในการทำการบ้านทริปนี้ ก็เป็นคนอยากไปเองนี่นา ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้กลายเป็นคนที่บ้าอ่านรีวิวมากๆ

ปล. อย่าเพิ่งเบื่อกันน๊าาา เข้าเรื่องเลยแล้วกัน นานาขอบคุณ
ทริปนี้เราเดินทางกัน 2 คนนะคะ สิริรวมแล้วก็ 11 วัน โดยเดินทางวันที่ 14-24 ก.พ. ไปดูแพลนการเดินทางของเรากันเลยเนอะ

1. วันนี้ตั้งจะไป dazaifu แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เลยทำได้แค่เดินถ่ายรูปเล่น หาของกิน (นอน tenjin)
2. kumamoto > aso Mt. > ถนนคนเดิน sunroad (นอน kumamoto)
3. ปราสาท kumamoto > yufuin (นอน hasuwa ที่ yufuin)
4. yufuin > fukuoka > เดินเล่นถนนช็อปปิ้ง tenjin (นอน tenjin)
5. ศาลเจ้า dazaifu > เดินซื้อของฝาก parco,canal city (นอน tenjin)
6. nagasaki > dejima >glover garden (นอน nagasaki)
7. huis ten bosch (นอน nagasaki)
8. saga > ศาลเจ้า yutoku inari > tosu outlet (นอน saga)
9. karatsu > ตลาดเช้า yobuko > แหลม hado (นอน saga)
10. เที่ยวใน fukuoka เดินซื้อของฝาก และของฝากซื้อ ,แพ็คกระเป๋า (นอน tenjin)
11. เดินทางถึงกรุงเทพโดยปลอดภัยจร้าาา

ในส่วนนี้จะยาวไปนิดนึง ใครมีข้อมูลแล้ว ข้ามไปได้เลยนะคะ

สิ่งที่เราคิดว่าจำเป็น ที่ต้องเตรียมตัวในการเดินทางนะคะ
1. เงิน , บัตรเครดิต (555+ ก็แน่ล่ะซิ ปัจจัยหลักของเรา )

2. pocket wifi จำเป็นมาก เผื่อหลงทางเอาไว้ดูตารางรถไฟค่ะ แล้วก็สำหรับคนติด social แบบเรา อมยิ้ม17
เราใช้ของ samurai wifi ค่ะ ตามนี้เลยค่ะ >>> http://www.bs-mobile.jp/th/ ตอนแรกเห็นรีวิวข้อเสียเยอะ ก็หวั่นๆเหมือนกันค่ะ แต่ทำไงได้จองไปแล้วนิ พอถึงเวลาใช้จริงๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย สัญญาณแรงมากค่ะ *****คำแนะนำของพนักงานคือ เราต้องแจ้งสถานที่ที่เราจะไปให้หมดนะคะ ทางพนักงานเค้าจะเลือกรุ่นสำหรับพื้นที่ที่เราจะไปให้อีกที เพราะเครื่องที่เช่ารายวันแบบถูกๆ บางทีก็ไม่สามารถใช้ในพื้นที่นอกเมืองได้ค่ะ เราเลยได้รุ่นนี้ไปใช้ >>> รุ่น New Type 280 บาท/วัน : 4G LTE ความเร็วสูงสุด 165 Mbps ตอนเช่าเราได้โปรเหลือวันละ 200 บาท วันที่ 8 เป็นต้นไปวันละ 100 บาท รุ่นนี้บังคับทำประกันอีกวันละ 50 บาทนะคะ แบตทนค่ะอยู่ได้เช้ายันมึด จะเล่น จะดูหนัง ฟังเพลง ลุยโลดดด เพราะไม่จำกัดการใช้งานคร้าาาา มันดีตรงนี้แหละ ไม่ต้องกลัวเน็ตจะช้าลง

3. ยาสามัญ มีเท่าไหร่ขนไปเลยจ้าาาา 555+ เราเป็นคนที่แพ้อากาสง่ายมากๆๆ อากาสเปลี่ยนปุ๊บไม่สบายทันที ตอนไปอัดยาแก้แพ้ทุกวันเลยค่ะ กลัวเป็นภาระแฟน เดี๋ยวจะพากันเที่ยวไม่สนุก

4. รองเท้าผ้าใบ ก็มันใส่สบายที่สุดสำหรับเราแล้วววว เหมาะมากถ้าเราเดินเยอะๆนะคะ เพราะเราเอาบูทไปเกือบขว้างทิ้งกลางทางแล้วค่ะ เมื่อยมากกกกก ต้องแวะซื้อ nike กลางทาง

5. เสื้อผ้า อันนี้แล้วแต่สะดวกเลยคร้าาาา ถ้าไปหน้าหนาวจัดเต็มไปเลยนะคะ ใครว่า kyushu ไม่หนาวมาก สำหรับเรานะ โคตะระ หนาวเลย 555+ เพราะตอนไปแอบเช็คอุณหภูมิ 12 องศา ( เห้ยย ตอนกรุงเทพ 16 องศา มันก็ไม่เท่าไหร่นี่นา เอาเสื้อแหนมออกหมดเลยคร้าาา ) ไปถึงโน่น หิมะตก เห้ยยย มันใช่หรอ มองหน้ากับแฟนแล้วก็ขำ 555+ งานเข้าแล้วววว สรุปเสียตังซื้อเสื้อผ้าอีก รู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองยังไงก็ไม่รู้

6. บัตรรถไฟ JR PASS ถ้าเราเดินทางเยอะ หรือกลัวหลง ซื้อเถอะค่ะคุ้มมาก แต่ถ้าคนไม่ค่อยเดินทางไปไหน ลองคำนวณการเดินทางในแต่ละวันดูนะคะ บางทีการซื้อเป็นเที่ยวอาจจะคุ้มกว่าค่ะ เราซื้อบัตร JR จากที่กรุงเทพไปค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะไปซื้อที่สนามบินก็ได้เหมือนกันนะคะ เราซื้อแบบ 3 วัน กับ 5 วันค่ะ ราคาก็ 8,500 เยน กับ 10,000 เยน ตามลำดับค่ะ
หลักๆ ก็ประมาณนี้นะคะ อมยิ้ม01

วิธีขึ้นรถไฟ รถบัส มีหลายท่านรีวิวไว้เยอะแล้ว เราขอข้ามเลยโน๊ะ แต่ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติม ถามมาได้เลยนะคะ ยินดีตอบมากๆค่ะ
การเดินทางแต่ละวันของเรา เปลี่ยนที่พักทุกคืนนะคะ เดี๋ยวเราจะบอกว่าวันไหนเราพักโรงแรมอะไร เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆค่ะ
งั้นไปชมเราเล่าเรื่องการเดินทางกันเลยดีกว่า เพ้อเจ้อเยอะแล้ว

Day 1 วันที่เจออุปสรรคเยอะที่สุด อะไรก็ไม่เป็นใจเลยซักอย่าง

วันแรก มีรูปเท่านี้จริงๆ ขอเล่าก่อนเลยนะคะ ตั้งแต่เครื่องลดระดับกำลังจะลงจอดน้านนน เราก็เกิดอาการมึนหัว บ้านหมุน อาเจียนไปหลายรอบ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร ลงจากเครื่องได้เท่านั้นแหละ รีบวิ่งไปห้องน้ำก่อนเลย 555+ คือตรงดิ่งไปแบบไม่คิดชีวิตเลยค่ะ แทบจะไม่สนใจคนรอบข้างเลย ซึ่งโชคดีที่สนามบินไม่กว้างมากเท่าไหร่ เดินแป๊บเดียวก็ถึง ตม. แล้วค่ะ แต่ก่อนผ่าน ตม. เราก็แวะห้องน้ำอาเจียนหนักมากๆ อยู่ในห้องน้ำเป็นชั่วโมงอ่าค่ะ แฟนก็นั่งรอข้างนอกจนคนหมดแล้ว หมดอีก เราก็ยังไม่เดินออกมาซักที ด้วยความที่เจ้าหน้าที่คงเห็นแฟนเรานั่งอยู่นานมากแล้ว ก็เดินเข้ามาถาม ว่าทำไมไม่ไปต่อแถวผ่าน ตม. ซักที หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เดินเข้าไปตามเราถึงห้องน้ำเลยค่ะ เห็นเรายืนอาเจียนอยู่ เค้าก็ช่วยลูบหลังแล้วพยุงเราออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ถามแบบเป็นห่วงมากๆ (เจ้าหน้าที่เป็นผู้ชายนะคะ อิอิ ดูแลยันผ่าน ตม. เลยจริงๆ ซึ้งใจ ตื้นตัน ปลื้ม จนลืมแฟนที่อยู่ข้างๆเลยคร้า 555+ เวอร์ไปเนอะอันนี้) นี่แหละค่ะความน่ารักของคนญี่ปุ่น ไปเอากระเป๋ากันดีกว่าาาา

ห๊ะะะะ กระเป๋าไม่มี กระเป๋าไม่โหลด กระเป๋าหายย พาพันเศร้า

ตอนนั้นซวยแล้วจริงๆค่ะ ในใจเริ่มท้อแล้ว แถมเรายังมาป่วยอีก ถามเจ้าหน้าที่เรื่องกระเป๋าเค้าก็บอกให้เราลองไปหาฝั่งโน้น ลองไปหาฝั่งนี้ สุดท้ายก็ไม่เจออยู่ดีค่ะ พนักงานก็น่ารักอีกแล้วค่ะ ช่วยตามหากระเป๋าเราให้ สรุปเค้าเดินมาบอกกับเราว่าให้รออยู่ตรงนี้นะ อย่าลุกไปไหน เดี๋ยวซักพักจะมี staff เอากระเป๋ามาให้ เราก็ได้แต่บอกว่าโอเค รอกระเป๋าอยู่นานมากค่ะเป็นชั่วโมงเหมือนกัน ซักพัก เห้ยยยย กระเป๋ามาแล้วววว ด้วยความสงสัย ก็เลยถาม staff ไปว่าทำไมกระเป๋าเราถึงไม่โหลดลงสายพานทั้งของแฟน แล้วก็ของเรา ได้ความว่า กระเป๋าเราทั้งคู่ เป็นกระเป๋าต้องสงสัย พระเจ้าาา ให้ตายยเถอะะ อะไรจะซวยขนาดนั้น ช่างมันเถอะยังไงก็ได้กระเป๋าละ ไปผ่านศุลกากรกันดีกว่า

ไม่ต่างกันเลยคราวนี้ โดนค้นกระเป๋าทุกใบ แล้วก็ทุกชิ้น ย้ำนะคะ ทุกชิ้น 555+ เอาน่าหน้าที่เค้านิเนอะ แค่นั่งแพ็คกระเป๋าใหม่เอ๊งงงง สบ๊ายย(เสียงสูงมาก) แต่ความน่ารักก็บังเกิดอีกแล้ว พนักงานเค้ามาช่วยจร้าาา แพ็คให้ รูดซิบให้ โอ๊ยยย จะน่ารักกันไปไหนคนญี่ปุ่น

สรุปแล้วกว่าเราจะได้ออกจากสนามบิน จนขึ้นรถบัส เชื่อมั๊ยคะว่าตอนนั้นเป็นเวลา 14.30 น. ค่ะ ช่ายค่ะฟังไม่ผิด ทำลายสถิติอยู่ในสนามบินนานที่สุดกันไปเล้ยยย อยากจะหัวเราะให้ดังๆมาถึงกรุงเทพเลยค่ะตอนนั้น ยังไม่หมดเท่านี้ หลงในสถานี hakata นานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว หมดวันแล้วค่ะ อดไปเที่ยวแล้ว พอถึงที่พักเอากระเป๋าไปเก็บ หาอะไรง่ายๆกิน อัดยาไป 4 เม็ด นอนเอาแรงเลยค่ะเราต้องอยู่อีกหลายวัน ร่างกายเราต้องพร้อม วันแรกก็หมดเท่านี้จริงๆค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปที่ไหนเลย สงสัยการเดินทางตรงไหนถามได้เลยนะคะ

**ขอยืมรูปจากเว็บ fukuoka city subway นะคะ**
ตารางรถไฟใต้ดิน ที่ใช้เดินทางในเมือง fukuoka ค่ะ

วันนี้นอนที่ Hotel Mystays Fukuoka Tenjin
-การเดินทาง ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย koku line ลงสถานี tenjin ออกทาง exit 4 นะคะ แล้วเดินตาม GPS เลยค่ะ ไม่หลงแน่นอน

วันที่
2

Day 2 วันนี้เราจะไป ภูเขาไฟ Aso กันค่ะ

-ออกจากที่พัก ขึ้นรถไฟจากสถานี Tenjin – Hakata ราคา 260 เยน เวลา 7.40 น.
-รอขึ้น Shinkansen เวลา 8.31 น. ถึง Kumamoto 9.04 น. (ใช้ JR Pass)
- ออกมาด้านหน้าสถานี ซึ่งสถานีที่เราอยู่ตอนนี้คือ ป้ายเบอร์ 3 นะคะ ดูจากตารางรถ tram ด้านล่าง ขึ้น tram สะดวกที่สุด แล้วเอาของไปเก็บที่พักก่อนเที่ยว วันนี้เราพักที่ APA Hotel Kumamoto Kotsu Center Minami
***ที่พักอยู่ป้ายเบอร์ 7 นั่งรถสาย A เอากระเป๋าไปฝากที่พักไว้ก่อน (จริงๆถ้าไม่อยากยุ่งยากแบบเรา ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีเลยก็ได้นะคะ เค้าจะมีตู้ล็อกเกอร์ฝากของ แล้วหาอะไรกินที่สถานีไปก่อน รอเวลารถไฟมาค่ะ แนะนำร้านขายเบอร์เกอร์หน้าสถานีค่ะ อร่อย ใช้ได้ค่ะ)

เราขึ้นรถ tram ตรงสถานีนี้นะคะ ตอนนั้นหิมะตกปรอยๆ ตลอดเลยค่ะ หนาวมากๆ เราแทบไม่ได้ออกมาถ่ายรูปเลย นั่งขดอยู่แต่ในสถานี เลยมีรูปด้านหน้าสถานีมาให้ดูเท่านี้นะคะ

****อัพเดทราคารถ tram นะคะ ตอนเราไปขึ้นเป็นเที่ยวละ 170 เยน แล้วค่ะ ***
ขอยืมภาพมาจากเว็บ talonjapan นะคะ

วันที่เราไป รถไฟขบวนพิเศษ Aso Boy ไม่วิ่ง อดเลยว่าจะมาขึ้นซักหน่อย เช็ควันที่วิ่งได้จากที่นี้นะคะ https://www.jrkyushu.co.jp/english/train/asoboy.jsp ใครอยากขึ้นก็ปรับเปลี่ยนวันไปให้ตรงกับที่รถไฟวิ่งนะคะ เราจองเที่ยวรถไฟตามตารางข้างล่างนี้เลยค่ะ

ถึงแล้ววววว สวยตั้งแต่สถานีข้างล่างเลยค่ะ

จะรอช้าอยู่ใยรีบไปหยอดตู้ซื้อเหรียญขึ้นบัสกันดีกว่า เพราะเวลาที่รถไฟมาถึงกับเวลาที่รถบัสออกจากสถานี มันใกล้เคียงกันมาก เราต้องรีบหน่อยค่ะ เดี๋ยวรถบัสไม่รอเรา ข้างล่างนี้เป็นตารางรถบัสที่ขึ้นไปบนภูเขาไฟ Aso นะคะ ซื้อเหรียญที่ตู้ หรือไปหยอดเหรียญจ่ายตอนลงจากรถก็ได้ค่ะ

ขอยืมรูปมาจาก internet นะคะ พอดีเราทำตารางรถบัสหายไป

-เราขึ้นบัสเที่ยว 13.10 ถึงตีนเขาเวลา 13.45 เนื่องจากกระเช้าปิด แล้วเราก็หนาวมาก เสื้อผ้าไม่พร้อมอย่างแรงค่ะ เลยต้องเลือกกลับลงมาเวลา 14.00 ซึ่งเราจะมีเวลาถ่ายรูปข้างบนแค่ 15 นาทีเท่านั้น หนาวก็หนาว แต่อยากถ่ายรูปมากกว่า 555+ (ซึ่งเราเช็คอุณหภูมิล่วงหน้ามา 1 วัน เค้าก็บอกว่าหิมะไม่ตกนะคะบนนี้ แต่มาถึง โอ้ววว แล้วไอ้ที่ขาวโพลนนั่นมันคืออารายยยยย ) เสื้อผ้าไม่พร้อมอย่างแรงค่ะ

ถ่ายรูปเสร็จเรารีบวิ่งขึ้นรถอย่างเร็วเลยค่ะ หนาวมือแข็งเลย ได้เวลารถออกแล้ว นั่งลงมาประมาณ 5 นาทีได้ค่ะ ก็จะถึงสถานี Kusasenri เป็นสถานีระหว่างทาง ซึ่งบรรยากาศมันสวยยมากกกกกจริงๆ เราก็แวะเลยจร้า อยากลงไปถ่ายรูปแล้ว

ได้เวลากลับแล้ว ไปรอรถบัสกันดีกว่า จุดรอรถบัสก็ตรงวงกลมสีแดงๆ ในรูปข้างล่างเลยนะคะ แนะนำให้เดินมาขึ้นตรงเวลาหน่อยนะคะ เพราะรถมาจอดรับแล้วก็ไปเลยจริงๆค่ะ

พอได้ขึ้นรถเหมือนอยู่ในสวรรค์เลยค่ะ อุ่นมั๊กมากกก แต่แอบมีกลิ่นอับๆ นิดหน่อยนะคะในรถ พอขึ้นรถแล้ว หยิบบัตรเล็กๆในตู้อัตโนมัติข้างประตูทางขึ้นมาด้วยนะคะ ตอนจ่ายเงินก็ดูตารางในรูปข้างล่าง อย่างในรูป (ถ้าเราหยิบบัตรเบอร์ 1 มา แล้วเราจะลงตรงนี้แล้ว เราก็จ่าย 150 เยนค่ะ หยอดลงไปกล่องข้างๆคนขับเลยค่ะ ) รูปอาจจะไม่ชัด ขออภัยด้วยนะค๊าาา

นั่งรอแป๊บๆ รถไฟก็มาแล้วค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นเรากลับไปเดินถนนคนเดิน sunroad กันต่อค่ะ

พอเราถึงสถานี kumamoto ก็เดินทางเหมือนเดิมนะคะ ออกจากสถานีมาขึ้น tram ไปถนนคนเดิน sunroad กันดีกว่า เราก็นั่งรถรางเลยไปลงเบอร์ 8 เลยนะคะ ทางเข้าถนนคนเดินจะอยู่ทางขวามือเหมือนในรูปข้างล่างเลยจร้า ทีนี้ใครอยากจะซื้อของ ทานข้าว ตามสะดวกเลยค่ะ ร้านช็อปปิ้งเยอะมากๆ ที่นี่มีร้าน ABC Mart ด้วยนะคะ เดี๋ยวขากลับเราเดินกลับที่พักได้ค่ะ เพราะที่พักเราอยู่เบอร์ 7 ค่ะ (ใครเดินไม่ไหวขึ้นรถรางได้นะคะ แต่เราประหยัดค่ะ 555+ )

กลับกันดีกว่า ยิ่งอยู่นานทรัพย์ยิ่งจางค่ะ เดี๋ยววันท้ายๆไม่มีเงินกินข้าว เราหมดไปเยอะมากกับรองเท้า ไม่น่ามาเดินเล้ยยยย อย่าลืมแวะซื้อสตอเบอรี่นะคะ อร่อยมากๆๆ เสียดายเราซื้อติดมือมากล่องเดียวเอง กลัวมันจะเปรี้ยว

วันที่
3

Day 3 ปราสาท kumamoto , yufuin

ตื่นแต่เช้าค่ะวันนี้ เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวปราสาท kumamoto กันก่อน ก็ check out กันเล้ยยย แล้วฝากกระเป๋ากับทางโรงแรมไว้ก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเที่ยวเสร็จเราค่อยมาแวะเอากระเป๋าค่ะ การเดินทางก็เหมือนเดิม นั่งรถรางมาลงที่ป้ายเบอร์ 10 นะคะ แล้วเดินเลาะริมน้ำมาทางขวา หรือซ้ายก็ได้ค่ะ เข้าได้เหมือนกัน (เราเลือกเดินเข้าทางซ้าย แล้วออกทางขวาของภาพนะคะ ) เริ่มเลยดีกว่า จากรูปข้างล่างนะคะ

-สี่เหลี่ยมแดงๆ คือป้ายที่เราลงนะคะ เบอร์ 10 เดินเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ตามลูกศรแดงเลยค่ะ วิวสวย มีที่ให้ถ่ายรูปเยอะ
-สี่เหลี่ยมสีดำ จะเป็นรูปปั้นท่าน คาโตะ ค่ะ ตามรูปด้านล่างเลยนะคะ

เข้าไปชมปราสาทข้างในกันดีกว่า ดูซิว่าจะอลังการแค่ไหน เราซื้อแบบชมปราสาทอย่างเดียวนะคะ ราคา 500 เยนค่ะ ส่วนค่าชมอย่างอื่นก็ราคาตามรูปข้างล่างเลยจร้า

ข้างในก็จะมีวิวสวยๆให้เราถ่ายรูปเล่นเยอะแยะเลยนะคะ ไปชมรูปกันดีกว่า

เสียดายมากค่ะ ตอนเราไปปราสาทเค้าปรับปรุงเลยได้ภาพแบบนี้มา

ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวไปถ่ายด้านหลังปราสาทก็ได้ สวยไม่แพ้กันเลยค่ะ

เห็นคุมะมั๊ยค๊าาา

ได้เวลากลับแล้ว ไปเอากระเป๋าที่ที่พักกันดีกว่า เตรียมตัวไป yufuin ต่อคร้า ข้างล่างนี่เป็นตาราง Yufuin no mori ที่เราจะขึ้นนะคะ
ตอนแรกเราจะจองเที่ยว 12.57 น. แต่เต็มซะก่อน แต่ไม่เป็นไรถึงช้าหน่อยแต่ได้นั่ง Yufuin no mori ก็โอเคแล้วค่ะ

การเดินทางไป yufuin จาก kumamoto เราจะต้องนั่งรถไฟไปลงสถานี kurume ก่อนนะคะ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง kurume แล้วค่ะ พอถึงก้ไม่รู้จะทำอะไร ก็เดินถ่ายรูปไปพลางๆ แป๊บเดียวรถไฟขบวน Yufuin no mori ก็มาแล้วค่ะ เราจะได้นั่งแล้ว เย้ๆๆๆๆๆ มาเพื่อสิ่งนี้ แต่ไม่ทันได้ถ่ายรูปรถไฟเลย คนเยอะมากๆๆ จะเดินไปตรงไหน คนเต็มไปหมดเลยค่ะ
อมยิ้ม20
งั้นเราเดินไปหยิบการ์ดมาประทับตราเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันดีกว่าค่ะ จริงๆ จะหยิบเท่าไหร่ กี่ใบ ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะคะ แต่เราเห็นคนนึง เดินมาเสียงดัง โวยวาย เสร็จแล้วก็หยิบไปเป็นปึกเลยค่ะ เรียกได้ว่าแทบหมดเลยก็ว่าได้ พนักงานมองแบบอึ้งๆนิดนึงค่ะ 555+
หน้าตาการ์ดที่ว่าก็เป็นแบบนี้ค่ะ

ซักพักก็จะมีพนักงานเดินถือป้ายมาให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ จะพลาดได้ไง ถ่ายเก็บไว้ซะหน่อย

ระหว่างทางก็มีวิวสวยๆ ให้นั่งมองตลอดทางเลยค่ะ บางช่วงมีชะลอความเร็วให้ดูน้ำตก ด้วยนะคะ สวยดีค่ะ เราไม่ได้ถ่ายวิวข้างทางมาซักรูปเลย นั่งมองเพลินไปหน่อย เสียดายมากเลยค่ะ แป๊บๆก็ถึง yufuin แล้วววววว เย้ๆๆๆๆ

ตอนไปถึงก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วค่ะ เราต้องรีบเดินไปที่พักก่อน เดี๋ยวมึดแล้วจะลำบาก ยิ่งอ่านรีวิวมา เค้าว่า GPS จะพาเราหลง เอาเป็นว่าถ้าใครมาพักที่ hasuwa เดินตามเรามาเลยนะคะ ไม่ต้องไปข้ามทางรถไฟแบบใน GPS เดี๋ยวกระเป๋าลากล้อจะหลุดเอาค่ะ อิอิ หรืออีกทางเลือกหนึ่ง email หาที่พักนัดให้เค้ามารับก็ได้นะคะ ถ้าเรารู้ตารางรถไฟที่เราขึ้นแน่นอนแล้ว แต่เราอยากเดินถ่ายรูปไปด้วย ก็เลยขอเดินลากกระเป๋าลำบากๆ ไปดีกว่า 555+

เจ้าคิกคัก

เริ่มเลยแล้วกัน อันดับแลกเดินออกมาจากสถานีแล้วเดินตรงเข้ามาเรื่อยๆเลยนะคะ แล้วเลี้ยวเข้าซอยขวามือซอยแรกเลยจร้า (จริงๆ จะเดินเข้าซอยถัดไปก็ได้นะคะ มันก็ไปทะลุที่เดียวกันอยู่ดีค่ะ) ก็เดินไปเรื่อยตรงไปอย่างเดียวไม่ต้องเลี้ยวไหนนะคะ พอเดินสุดซอยแล้วเราก็ไม่ต้องสนใจ เดินตรงไปอย่างเดียวโลดดดด

พอเดินไปเจอสะพานแบบนี้แล้ว ดีใจได้เล้ยยย เราใกล้ถึงแล้วคร้า เรามาถูกทางแล้ววว เดินข้ามสะพานไปเลยนะคะ

พอข้ามสะพานเราจะเจอทางม้าลายอันแรกก่อน ยังไม่ต้องเลี้ยวไปไหน เดินตรงไปให้ถึงทางม้าลายที่ 2 ก่อน แล้วเลี้ยวซอยขวามือเลยจร้าาา จะมีป้ายบอกทางไม่ต้องกลัวหลงนะคะ

พอเลี้ยวเข้าซอยแล้ว ให้เราเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเจอทางสามแยก ให้เลี้ยวขวา แล้วเดินต่อไปอีกหน่อยก็เป็นทางสามแยกอีก ก็เลี้ยวขวาอีกที เดินตรงไปอีกนิดเดียว ก็ถึงแล้วค่ะ

ถึงแล้วคร้าาาา เอาของเข้าไปเก็บที่พักกันดีกว่า ที่นี่มีออนเซ็นให้แช่นะคะ สามารถล็อคประตูให้เป็นออนเซ็นส่วนตัวได้ค่ะ มีบ่อใหญ่กับบ่อเล็ก แล้วแต่ว่าใครชอบแบบไหน พอถึงที่พักเราก็เอาของเก็บ เดินถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็เดินไปหาอะไรกินแถวสถานีอีกรอบค่ะ หมดวันแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเดินเที่ยว yufuin กันค่ะ
รูปล่างนี้เป็นรูปหน้าที่พักนะคะ มีจักรยานให้ใช้ฟรีด้วยนะคะ แต่ตอนนั้นอากาศมันหนาวมากเราเลยเลือกเดินแทนค่ะ ปั่นไม่ไหวแน่ๆ เพราะช่วงที่เราไป หิมะตกตลอดเลยค่ะ แต่ไม่ถึงกับหนักมากนะคะ

ไปแช่ออนเซ็นกันดีกว่าค่ะ

รูปที่พักค่ะ

หมดวันแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปเดินเที่ยวใน yufuin กันคร้าาาา

วันที่
4

Day 4 เดินเล่นใน yufuin , กลับไปนอนที่ fukuoka

วันนี้เราตื่นสายหน่อยนะคะ Check out ตอน 10.00 น. พอดีเป๊ะเลยคร้าาา เก็บของเสร็จก็มีพนักงานขับรถไปส่งที่สถานีค่ะ พนักงานน่ารักมากๆ บริการดีเยี่ยมเลยค่ะ พูดไปแล้วก็คิดถึง ยังไม่อยากกลับเหมือนกัน นี่ค่ะหน้าตารถที่จะไปส่งเราที่สถานี

พอถึงหน้าสถานี เอากระเป๋าไปฝากล็อกเกอร์ก่อนนะคะ แต่ส่วนมากล็อกเกอร์ตรงสถานีถ้าเรามาช้าจะเต็มก่อนแน่นอน แนะนำร้านฝั่งตรงข้ามสถานีเลยค่ะ ราคาเดียวกันค่ะ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก จุดมุ่งหมายของเราคือการไปกินเค้กโรล ร้าน B-Speak คร้าาา แล้วก็ไปเดินเล่นทะเลสาบ งั้นไปดูรูปโดยรวมกันดีกว่าเนอะ
มีหลายท่านคนรีวิวสถานที่ รายละเอียดเกี่ยวกับ yufuin เยอะแล้ว งั้นเราขออนุญาตลงแต่รูปเลยแล้วกันนะคะ

รูปนี้เป็นวิวทะเลสาบค่ะ เราชอบมาก สวย แต่วันที่เราไปพอดี๊พอดีกับมีทัวร์จีนมาลง เลยถ่ายรูปได้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เพราะคนเยอะมากจริงๆค่ะ สงสัยคราวหน้าต้องมาซ่อมที่นี่ใหม่ซะแล้ว สรุปเราเลยไม่ค่อยได้ซึมซับบรรยากาศที่นี่มากเท่าไหร่ สุดท้ายเลยซื้อของกิน เดินกินตลอดทางเลยค่ะ ไหนๆก็ถ่ายรูปไม่สะดวกแล้ว แวะชิมโน่นชิมนี่ทุกร้านไปเลย น่าจะเวิร์คดี 555+

พอถึง hakata เราต้องต่อรถไฟใต้ดิน ไปลง tenjin เพื่อกลับที่พักวันแรกกันค่ะ เราจะพักที่นี่ 2 คืนนะคะ วันนี้กับพรุ่งนี้
***ลืมบอกไป เราพักที่ Hotel My Stay Fukuoka Tenjin ต้น กลาง ปลาย นะคะ เวลาที่เราเปลี่ยนที่นอนไปเมืองอื่น เราก็ใช้วิธีแบ่งเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเล็กไปค่ะ ส่วนกระเป๋าใหญ่ก็ฝากไว้ที่เดิม จะได้ไม่ต้องแบกทุกอย่างไปกับเราหมดนะคะ เอาแค่ที่จำเป็นไปก็พอ จะได้ไม่หนักมาก***

พอเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะไปกิน Ichiran Ramen (ราเมนข้อสอบ) กันค่ะ ใกล้ๆที่พักนี่เอง เดินไม่ไกลมากด้วย สาขาที่ Tenjin ถือเป็นสาขาต้นกำเนิดขอราเมนเจ้านี้นะคะ ลักษณะชามจะเป็นชามสี่เหลี่ยมค่ะ ซึ่งจะไม่เหมือนสาขาอื่น ใกล้ๆกันยังมีราเมนอีกเจ้า ที่ติดปากคนไทยมากอีกยี่ห้อนึง คือ Ippudo Ramen (เดี๋ยวเราไว้มากินกันก่อนวันกลับนะคะ) ซึ่งตอนนี้มีสาขาที่ไทยหลายที่แล้วนะคะ หาทานกันได้เลยค่ะ ในใจก็อยากให้มีราเมนข้อสอบมาเปิดที่ไทยบ้างเหมือนกัน อิอิ

วันที่
5

Day 5 Dazaifu, เดินเที่ยวในเมือง

วันนี้ตื่นสายนิดนึง ออกจากที่พัก 10 โมง ( แหะๆ ไม่สายแล้วมั้ง นอนเพลินไปหน่อย อิอิ ) ไป Dazaifu กันดีกว่าจะได้ไม่สาย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาแนะนำให้ซื้อของกินอะไรง่ายๆ ที่ร้านสะดวกซื้อ พวก Sandwich, Burger ไปทานบนรถไฟเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง ทริปนี้เราไม่ได้เน้นเรื่องกิน เลยไม่ค่อยรู้ว่าที่ไหนมีอะไรอร่อยบ้าง เราเลยเน้นสะดวก และรวดเร็ว กลัวตกรถไฟค่ะ

วิธีเดินทาง:
เราเริ่มจากสถานีรถไฟใต้ดิน Tenjin นะคะ ให้ใช้ทางเชื่อมภายในสถานี เดินไปตามป้ายห้าง Parco ให้สังเกตป้ายที่เขียนว่า Nishitetsufukuoka(Tenjin) เดินไปตามป้ายเลยค่ะ แล้วเราก็มองหา counter ticket ซื้อตั๋ว one day pass ซึ่งจะมี 2 แบบ
-แบบแรก ราคา 820 เยน ใช้ขึ้นรถไฟ รถบัสได้ (ไป dazaifu ไม่ได้)
-แบบสอง ราคา 1340 เยน ครอบคลุมถึง dazaifu
เราซื้อแบบ 2 นะคะ ก็ขูดตามวันที่เราจะใช้เลยค่ะ ของเราใช้วันที่ 18 ก.พ. ก็ขูดวันที่ 18 เดือน 2 ปี 2016 ค่ะ

วันนี้จะมีแต่รูปนะคะ ถ้าอยากสอบถามการเดินหลังไมค์ มาได้เลยค่ะ ไปเที่ยวกันเล้ยยยย

คนเยอะมากค่ะ ทัวร์มาลงก็เยอะ เราก็ได้แต่เดินหาของกิน ถ่ายรูปนิดๆหน่อยๆ ก็กลับแล้วค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะมาทาน ichiran ramen ที่นี่ ร้านอยู่หน้าทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ ติดกับสถานีรถไฟที่เราลง เดินเข้าไปถามแล้วที่ร้านไม่มีขายแบบนั่งทานที่ร้านอ่ะค่ะ มีแต่ซื้อแบบสำเร็จรูปกลับบ้านเป็นของฝาก เราก็ต้องหิ้วท้องกลับมาทานที่ tenjin ยังมาไม่ครึ่งทางเลยคิดถึงอาหารไทยแล้ววว คิดถึงส้มตำ 555+


กลับมาถึง tenjin ก็ตรงดิ่งไป onitsuka ในห้าง parco เลยค่ะ มีคนฝากซื้อเยอะ เดี๋ยววันใกล้กลับไม่มีโอกาสมาเดิน ซื้อมันวันนี้นี่แหละ ถ้าใครจะเดินไป shop ที่ canal city เราว่า shop ที่ห้าง parco มันมีแบบให้เลือกเยอะกว่านะคะ เข้าไปในร้านมีแต่คนไทยมาเหมาค่ะ ดูอบอุ่นดี คนซื้อมีแต่ thailand ยาวเต็มหน้ากระดาษเลยคร้าาาาา

วันที่
6

Day 6 วันนี้อยู่ nagasaki นะคะ เที่ยวในตัวเมือง

เราออกจากที่พักแต่เช้า ไปต่อรถไฟที่สถานี hakata ไป nagasaki ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงค่ะ วันนี้เราผิดแผนนิดหน่อย พอดีไปผิดชานชาลา ตกรถไฟซิคะ เห้ออออ วิ่งมาเกือบทันแล้วค่ะประตูรถไฟปิดใส่ต่อหน้าต่อตา ไม่ทัน ทีนี้ต้องมานั่งลุ้นแล้วหล่ะค่ะ ว่าเที่ยวต่อไปตู้ non-reserved จะมีที่นั่งให้เราไหม รถไฟมาถึง เต็มค่ะ ไม่มี 555+ ขำ ยืนขาแข็งค่ะ 2 ชั่วโมง
อมยิ้ม08อมยิ้ม08
วันนี้เราพักที่ AKARI ค่ะ อยู่ใกล้สะพานแว่นตาด้วย ตามนี้เลยจร้า > http://www.nagasaki-hostel.com/ ห้องพักโอเคเลยค่ะ พนักงานพูดภาษาอังกฤษเป๊ะมาก สื่อสารกันรู้เรื่องแน่นอน คราวนี้มีรูปที่พักค่ะ อิอิ

ที่พักมีบัตรส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆให้ มีแผนที่ให้ แล้วก็มีตั๋ว 1 day pass ขายด้วยค่ะ ข้างล่างนี่เป็นบัตรส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ โชว์ให้พนักงานขายตั๋วดูก้ได้ส่วนลดแล้วค่ะ

ข้างล่างเป็นตารางรถ tram อันใหม่ที่ใช้เดินทางใน nagasaki เดิมทีตารางไม่ใช่แบบรูปข้างล่างนะคะ เราขออัพเดทข้อมูลค่ะ ตอนเราไปรถราง สาย 3 ไม่มีวิ่งแล้วนะคะ เปลี่ยนเป็นสาย 2 แทน ตารางรถไฟก็เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยจากเดิม เราขอไม่อธิบายการเดินทางนะคะ เพราะในตารางที่เอามาแปะให้ มีบอกสถานที่เที่ยวไว้หมดแล้ว

วันนี้เที่ยวได้ 2 ที่นะคะ เนื่องจากเมื่อเช้ามาไม่ทันรถไฟที่จองไว้ ตารางเวลาเที่ยวก็เลยต้องเปลี่ยน เดี๋ยวเราไป dejima กับ glover garden กันค่ะ แล้วตอนเย็นก็ไปเดินเที่ยวถนนคนเดิน กับถ่ายรูปสะพานแว่นตานิดหน่อย ก็หมดวันอีกแล้วววว

รูปข้างล่างนี้ที่ dejima นะคะ จะมีร้านให้เช่าชุดกิโมโน ใส่เดินถ่ายรูปสวยๆด้วยค่ะ ลองเช่าใส่กันดูนะคะ

ต้นไม้ใบล่วงไปไหนหมดง่ะ ไม่เหมือนรีวิวที่เราอ่านมาเลย 555+

รูปล่างนี้เป็นรูปที่ glover garden นะคะ สถานที่จริงสวยมากๆค่ะ ในส่วนตรงบ่อปลาคราฟเค้าปรับปรุงอาคาร อดถ่ายรูปสวยๆเลย ไม่รู้ว่าทริปนี้เราโชคไม่ดีหรือเปล่า ไปที่ไหนเค้าปรับปรุงพื้นที่หมดเลย เห้อออออ แต่มุมถ่ายรูปสวยๆยังมีอีกเยอะ พอทดแทนกันได้น่าาาา

ขอจบด้วยภาพสะพานแว่นตาแล้วกันนะคะ ช่วงไปอาจจะตรงกับเทศกาลอะไรซักอย่างไม่แน่ใจ มีไฟประดับด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ไป huis ten bosch กันค่ะ

วันที่
7

Day 7 วันนี้ไป huis ten bosch ทั้งวันนะคะ

จริงๆวันนี้มีแพลนจะออกจากที่พักแต่เช้า เพราะกะจะแวะกินข้าวที่สถานีก่อน แต่ แต่ แต่ ฝนตกจร้าาาา ตกหนักด้วย เอาไงดีล่ะทีนี้ เราก็ต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อนถึงจะไปได้ แล้วพยากรณ์ก็บอกว่าฝนจะหยุดตอนเที่ยงๆ เห้ยยยย ต้องไปเที่ยวน๊าาาา เที่ยงเลยหรอ คราวนี้ก็บนบานศาลกล่าว นึกบทไหนออกท่องหมดค่ะ ขอให้ฝนหยุด ขอให้ฝนหยุด เพี้ยงงงง (ทำจริงๆนะคะ ไม่ได้ล้อเล่น 555+) ประมาณ 10 โมง ฝนหยุดแล้วคร้า ได้ผล ได้ผล ก่อนก้าวออกจากที่พัก ก็ยืมร่มพนักงานติดมือไปด้วยเลยจร้าา กันไว้เพราะวันนี้อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน เดี๋ยวตกอีกขึ้นมาจะแย่ พอถึงสถานีว่าจะแวะกินข้าวเป็นเรื่องเป็นราวซักหน่อย รถไฟมาแล้วคร้าาา ก็ออกมาสายนี่เนอะฝนตกทำไงได้ กินแซนวิชบนรถไฟอีกแล้วววววว


ถึงแล้วคร้าาาา Huis Ten Bosch เป็นไงสวยมั๊ยยย วันนี้ฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ ครึ้มทั้งวัน หนาวก็หนาว ลงจากรถไฟแล้วข้ามสะพานนี้มาเลยนะคะ วิวก็สวยแบบนี้แหละ

ที่นี่เค้าจะมีเทศกาลดอกทิวลิป เริ่มทุกๆเดือน ก.พ. นะคะ เพราะฉะนั้นช่วงที่เรามาก็จะได้เจอดอกทิวลิปพอดี๊เลย ถ้าใครจะมาขอให้มีเวลากับที่นี่ซัก 3 ชั่วโมงนะคะ จะได้คุ้มกับค่าตั๋วหน่อย เพราะมันกว้างมากๆ เราซื้อตั๋วแบบนั่งบัส กับเรือได้ ราคาประมาณ 4,xxx เยน จำราคาที่แน่นอนไม่ได้
ขออภัยด้วยนะคะ สามารถซื้อตั๋วได้ทั้งที่เคาน์เตอร์ และก็ตู้ขายตั๋วเลยค่ะ

ตอนแรกกะว่าจะอยู่จนมึด เพราะกลางคืนจะมีจัดแสดงไฟ สวยมากค่ะ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มานี่ก็จะพักโรงแรมใน huis ten bosch เลย แต่เนื่องจากเบี้ยในกระเป๋าเราไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ 555+ ไป-กลับ ดีกว่าเนอะ วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เทกระหน่ำเหมือนโกรธใครมายังงั้นแหละ เผ่นดีกว่าเรา ไม่อยู่แล้ววว กลับเถอะ ถึง nagasaki ก็มึดพอดี หาข้าวกินแล้วกลับไปนอนกันดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้ไป saga แล้ววว
คืนนี้เราก็พักที่ AKARI เหมือนเดิมนะคะ (ร่างกายใครยังไหว ไปเดินเที่ยวต่อได้นะคะ แต่เราไม่ไหวแล้วค่ะหนาวมากเลย)

วันที่
8

Day 8 Yutoku Inari Shrine, Tosu Outlet

นั่งรถไฟจาก nagasaki ยาวไป saga แล้วเดี๋ยวเราแวะเอากระเป๋าเก็บที่พักกันก่อนนะคะ เดินไม่ไกลเลย 5 นาทีก็ถึงที่พักแล้ววว

วันนี้เราจะนอนที่ Hotel APA Saga Ekimae Chuo เดินทางง่ายๆค่ะ ออกจากสถานีปุ๊บ มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็น family mart แสดงว่าเราออกถูกฝั่งละ ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาที พอเห็นป้าย budget สีน้ำเงินเหมือนในรูปข้างล่าง เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ โรงแรมอยู่ติดถนนเลย(จากรูปเราถ่ายย้อนกลับไปที่สถานีนะคะ ) เราจะนอนที่นี่ 2 คืน แล้วเดี๋ยวกลับไปนอนที่ fukuoka อีกทีวันจะกลับ

ไปศาลเจ้าพี่เบิร์ด ละครกลกิโมโน กันดีกว่า นี่ตามรอยละครชัดๆๆเลยนะเนี่ย (Yutoku Inari shrine) วิธีเดินทางก็ง่ายๆค่ะ นั่งรถไฟจากสถานี saga นั่นแหละค่ะ ไปลงสถานี hizen-kashima ใช้เวลาเดินทางไม่นานค่ะ ออกมาหน้าสถานีก็จะเจอตึก Yutoku หน้าตาแบบนี้นะคะ

ให้เดินเข้าไปในตึกนี้เลย จะมีร้านขายของกับรับฝากกระเป๋าอยู่ ให้ซื้อตั๋วรถบัสจากคุณลุงที่ขายของในตึกได้เลยค่ะ เดี๋ยวแกก็จะบอกเองว่าให้รอรถตรงไหน แกใจดีมากๆค่ะ ยืนคุยกับเราอยู่นาน แต่คุยกันไม่รู้เรื่องเลย 555+ เอ๊ะยังไง ช่างเถอะค่ะ ไปเที่ยวกันเถอะ

พอเราขึ้นรถบัสแล้ว ทีนี้จะลงป้ายไหนล่ะ ตอนเราไปก็กังวลเหมือนกันค่ะ กลัวลงผิดที่ แต่อ่านรีวิวมาเค้าบอกให้นั่งจนสุดสายเลย แต่เราก็สงสัยอีกว่าแล้วจะรู้ได้ไงว่าสุดสาย (555+ ก็นั่นน่ะซิ เดี๋วเค้าไล่ลงก็รู้เองแหละ) เราก็เลยถ่ายรูปสถานีสุดท้ายมาให้ดูนะคะ เผื่อใครขี้กังวลแบบเรา เห็นแบบในรูปป๊าบบบบ โดดลงเลยนะคะ (555+ล้อเล่นๆ เดี๋ยวคนขับเค้าก็ทำท่าทำทางให้รู้ว่า เอ้ออ สุดสายละนะ ลงได้ ประมาณนั้นน่ะค่ะ)

เดินเข้าไปไม่ไกลมาก ก็ถึงศาลเจ้าละค่ะ เดินเข้ามาเห็นเสาแบบนี้ก็ตรงเข้าไปโลดดดดด

ไม่เสียค่าเข้านะคะ เข้าไปไหว้ขอพรกันดีกว่า เดี๋ยวจะลงแต่รูปให้ดูนะคะ

เห็นมั๊ยขนาดที่นี่ ก็ยังปิดปรับปรุงบางส่วนเลยคร้าาาา เจอทุกที่เลยจริงๆ

ใครมีแรงเดินขึ้นเขาไปอีก แนะนำเลยค่ะ เดินไปเถอะ วิวข้างบนง๊ามงามมม เพราะเรามาทั้งทีใช่ม๊าาา ไม่ขึ้นได้ไง (อยากให้คนอื่นเดินเหนื่อยเหมือนเรา 555+ ) ถ้าไม่ถอดใจซะก่อน สวยจริงๆค่ะข้างบน ตามเรามาเล้ยยยย

ไป Tosu Outlet กันต่อเลยคร้าาา เรานั่งรถไฟจากสถานี hizenkashima ไปลงสถานี tosu ถ้านั่งรถไฟแบบ Ltd Express ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ พอเดินออกมานอกสถานีข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเลยค่ะ จะมีที่รอรถบัสอยู่ ให้ขึ้นรถเบอร์ 15 นะคะต่อเดียวถึงเลย เราขอเล่าหน่อยว่าเสียความรู้สึกกับการนั่งรถบัสไป tosu มากๆ คือเราถามพนักงานในสถานีว่าขึ้นบัสตรงไหน เค้าก็ชี้แบบส่งๆอ่าค่ะแล้วก็หน้าบึ้งๆ เราก็เอ้าาา เดินไปหาเองก็ได้ไม่เป็นไร พอจะขึ้นรถบัสอันนี้อาจจะเป็นการเสียมารยาทของเราเองรึป่าวไม่รู้นะคะ เราก็เลยยื่นหน้าเข้าไปถามรถบัสคันที่จอดอยู่ว่าจะไป tosu ต้องขึ้นบัสสายไหน เค้าก็ตอบแบบตะคอกกลับมาว่า ( เบอร์ 15 ) แล้วก็ปิดประตูรถปึ้งงง ออกรถไปเลย 555+ เรากับแฟนก็ยืน งงๆ นิดนึง ชั้นทำอะไรผิดไปรึป่าวน๊าาาา จนตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เอาน่าอย่างน้อยเราก็ได้คำตอบ ไม่เป็นไรๆๆๆ


ก่อนไปเดินซื้อของ ให้ไปแวะขอบัตรส่วนลดที่ information ก่อนนะคะ พนักงานน่ารัก พูดขอบคุณค่ะเป็นด้วย เค้าบอกว่าคนไทยมาที่นี่เยอะมากๆ เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยค่ะ ซื้อของอย่างเดียว 555+ ได้ nike มา 3 คู่ รูดบัตรโลดเลยค่ะ เดี๋ยวเงินสดหมด


ขากลับก็ยังซวยไม่เลิกค่ะ หลงยาวเลยทีนี้ มึดก็มึด แถมยังถูกรถบัสปล่อยลงกลางทางอีก เห้ออออ สงสัยดวงจะไม่ค่อยสมพงกับการมาที่นี่เท่าไหร่
คือขากลับเราก็นั่งรอรถบัสป้ายเดียวกับขามา แต่ๆๆๆ เราก็คิดว่ารถบัสสาย 15 จะขึ้นได้ทุกคัน พอเห็นรถมาก่อนเวลา 2 นาที เราก็กระโดดขึ้นเลยค่ะ แต่ปลายทางไม่ใช่ tosu station เป็นที่ไหนก็ไม่รู้ 555+ แต่เป็นรถเบอร์ 15 เหมือนกัน ตอนมาไม่จอดไหนซักป้าย ขากลับทำไมรถแวะหลายป้าย เราก็สงสัยแระ เลยบอกแฟนว่าเราลงสถานีหน้าดีกว่า พอรถจอดปุ๊บเราก็เดินไปถามคนขับว่าไปสถานี tosu ไหม เค้าก็ไม่ตอบค่ะ นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา แล้วเค้าก็ทำมือแบบชิ่วๆ อ่าค่ะ เหมือนไล่ให้ลงจากรถ เพราะคันนี้ไม่ไป tosu ไรงี้ (ตายแล้วซิ มึดก็มึด ทำไงอ่าถ้าหลงตรงนี้ตายเลยนะ) ลงจากรถมาความรู้สึกตอนนั้นอยากร้องไห้มากค่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าไม่พูดไรกับเราเลยซักคำ แถมยังไล่ให้ลงมาอีก แล้วจะไปไหนถูกล่ะ พอเดินไปดูตารางรถบัส แทบกรี๊ดดดด เลยค่ะ เพราะเที่ยวสุดท้ายคือคันเมื่อกี้ที่ไล่เราลง มองซ้ายมองขวาทำไรไม่ถูกจริงๆตอนนั้น แท็กซี่ก็ไม่มีทำไงดีล่ะ จริงๆก็ความผิดเราแหละค่ะ ขึ้นรถไม่ดูเวลาดีๆนานาเสียใจ
เชื่อมั๊ยคะเรายืนร้องไห้ แฟนก็ปลอบว่าเอาน่า ไม่ใช่บ้านเรา หลงบ้างไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยๆหาทางกลับกันก็ได้ ในความโชคร้ายก็ยังเจอคนดีค่ะ เป็นเด็กนักเรียนมัธยมผมสั้น ออกแนวห้าวๆหน่อย เราก็เห็นเค้าเดินตรงไปทางมึดๆ เราก็บ้าเดินตามเค้าไปค่ะ 555+ ในใจก็เดาค่ะว่าเค้าอาจจะไปขึ้นรถไฟม้าง ซักพักเค้าคงรู้แหละค่ะว่าเราหลงทาง เราก็บอกเค้าไปว่าเราจะกลับ saga ต้องไปยังไง เค้าก็กวักมือให้เราตามเค้าไป แต่คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกนะคะ เค้าก็ได้แต่ชี้ๆที่ป้ายว่าให้เราขึ้นไปฝั่งนี้ ไปต่อรถไฟสถานีนี้ ประมาณนี้อ่าค่ะ แล้วพอรถไฟมาเค้าก็เดินมาสะกิดเราแล้วบอกประมาณว่า ชั้นจะไปขบวนนี้แล้วนะ ส่วนของเราให้นั่งไปอีกฝั่งนึง แล้วก็ร่ำลากันแป๊บนึง ถ้าไม่ได้น้องคนนั้นคงแย่มากค่ะ เพราะสถานีรถไฟเป็นแบบ local ไม่ใช่สถานีใหญ่ อยู่ลึกลับมากๆ คนขึ้นก็ไม่มี หนาวก็หนาว รูปข้างล่างเป็นสถานีที่เรามาต่อรถไฟแล้วนะคะ เพื่อจะกลับสถานี hizenkashima แล้วนั่งต่อไปลง saga

ถึงที่พักสลบเลยค่ะ เหนื่อยมากวันนี้ เจอแต่อะไรไม่รู้ แต่ก็อยากขอบคุณเพราะถือเป็นประสบการณ์ชีวิตอันยอดเยี่ยมของเราค่ะ 555+

วันที่
9

Day 9 ตลาดเช้า Yobuko ,แหลม Hado

วันนี้เราจะไปตามรอยจุกกับพี่หมีกันนะคะ เริ่มแรกเดิมทีเลยสถานที่พวกนี้ไม่เคยอยู่ในลิสของเราตั้งแต่แรกเลยนะคะ แต่พอมีซี่รีส์ Saty Saga ฉันจะคิดถึงเธอ ก็เกิดไอเดียอยากจะตามรอยพี่หมีมาซะงั้น เราก็เริ่มหาข้อมูลเลยค่ะ ว่าเดินทางมายังไงได้บ้าง งั้นเราไปตามรอยพี่หมีกันเลยดีกว่าค่ะ
เราเริ่มเดินทางจากสถานี saga นะคะ ขึ้นรถไฟ local แบบในรูปข้างล่างนี้นะคะ ไปลงที่สถานี karatsu สุดสายเลยจร้า

เดินทางมาไม่ยาก พอถึงสถานี karatsu แล้ว ให้เราเดินออกมาฝั่งที่จุกมารอโอจิซังเลยค่ะ อิอิ (สำหรับคนที่ไม่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ก็เดินออกมาฝั่งที่มีรูปปั้นเหมือนในรูปข้างล่างเลยนะคะ)

จุดหมายแรกของเราวันนี้ เราจะไปตลาดเช้า yobuko กันค่ะ ท่ารถบัสเราจะต้องเดินไปอีกนะคะจากสถานีไม่ไกลมากเท่าไหร่ จากรูปข้างล่างสถานี karatsu คือตรงที่วงกลมด้วยปากกาเอาไว้นะคะ เมื่อเราเดินออกจากสถานีมาฝั่งที่มีรูปปั้นแล้ว ก็เดินตรงไปเรื่อยๆตามลูกศรเลยค่ะ มันจะสุดทางพอดี แล้วเลี้ยวขวา จะเห็นตึก otte อยู่ข้างหน้า ให้เดินข้ามถนนเข้าไปซื้อตั๋วแล้วรอรถด้านในตึกเลยค่ะ

วันที่เราไป ตลาดเช้าปิดหมดแล้วค่ะ 555 (ตลาดเช้าลงสถานี Yobuko) เพราะขึ้นรถเที่ยว 11.20 น. ถึงตลาดก็ 11.50 น. ตลาดที่ไหนจะอยู่รอเราล่ะ ท่ารถจะจอดตรงนี้นะคะ ในรูปข้างล่างสังเกตป้ายสีขาว ตัวหนังสือสีแดง ซอยข้างๆป้ายนั่นเลยค่ะ รถจะจอดส่งเราตรงนั้น สถานีจะเป็นห้องกระจกเล็กๆ เวลาเราจะไป แหลม hado ก็ขึ้นรถตรงนี้ได้เลยค่ะ (แต่ถ้าใครจะไม่แวะตลาดเช้าก็ไม่ต้องลงจากรถนะคะ นั่งเลยไปแหลม hado ได้เลย)

เดินเข้าไปเงียบเชียบเลย งั้นไปเดินถ่ายรูปกันดีกว่า บรรยากาศสวยไปอีกแบบนะคะ

ไปแหลม hado กันต่อเลยดีกว่า เดินไปขึ้นรถบัสตรงที่เดิม ถ้าไม่ชัวร์สอบถาม information ก็ได้นะคะ นั่งไปจนสุดสายเลยค่ะ ลงสถานี hado misaki รถจะขึ้นไปจอดสุดสายที่หน้าโรงแรมบนเนินเขานะคะ ซึ่งในนั้นเราสามารถเข้าไปนั่งรอรถได้ มีของฝากขายด้วย พอรถจอดแล้วเราก็เดินย้อนลงเนินตามทางเท้ามาได้เลยค่ะ

ถึงแล้ว ไปถ่ายรูปแบบจุกกับพี่หมีดีกว่า

รูปล่างนี้คือประภาคารนะคะ เสียค่าเข้าชม แต่เราไม่ได้เข้าค่ะ

ถ่ายรูปหนำใจแล้ว อย่าลืมแวะทานหอยสังห์ แบบที่พี่หมีพาจุกไปกินที่ตลาดเช้านะคะ พอดีเราไม่ทันตลาดเช้ามากินที่นี่เลยละกัน อร่อยมากค่ะจิ้มกับอะไรไม่รู้ดำๆ อร่อยดีแฮะ อย่าลืมอุดหนุนคุณป้าด้วยนะคะ นั่งกินไป คุยกันไปสนุกดี แต่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ฮาดีค่ะ

กลับกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะมึดซะก่อน เพราะเราจะไปกินปลาหมึกใสที่ร้าน gen you กันต่อค่ะ
พอถึงสถานีรถบัสที่ karatsu แล้วใช้เดินตาม gps เอานะคะ ร้านก็หน้าตาแบบนี้ค่ะ ช่วงเย็นร้านเปิด ห้าโมงนะคะเรามาถึงพอดีเป๊ะเลย ไปกินหมึกใสกันดีกว่า ตอนจ้องตากับปลาหมึก ก็นึกสงสารอยู่ในใจนะคะ แต่เราต้องกินจริงๆนี่นา อโหสิให้เราด้วยน๊าาาา อิอิ ส่วนไหนถ้าเราทานไม่ได้ ให้ทางร้านไปทอดเป็นเท็มปุระให้ได้ค่ะ ราคาก็มีตามขนาดเลยจร้า ในรูปเราเลือกแบบเล็กสุดนะคะ ได้มา 2 ตัวแน่ะ

กินเสร็จก็เดินไปเก็บรูปปราสาท karatsu กันซักหน่อยเดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง

วันที่
10

Day 10 วันนี้ก็เดินซื้อของฝากเช่นเคย
วันนี้ได้ onitsuka มาอีก 8 คู่นะคะ เนื่องจากราคาค่อนข้างถูกกว่าที่ไทย ก็เลยมีคนฝากซื้อเยอะหน่อย เดินไปซื้อให้คนโน้นที คนนี้ที หลายรอบมากๆจนพนักงานจำหน้าได้แล้วค่ะ 555 ส่วนขนมแนะนำให้ไปซื้อที่สนามบินตอนขากลับดีกว่า เพราะจะไม่มีภาษีด้วย ใครที่มองหา โตเกียวบานาน่า ไม่ต้องเดินหานะคะ เพราะมันไม่มีขาย จะมีเฉพาะที่สนามบินเท่านั้น กลับที่พักแพ็คของกันดีกว่าพรุ่งนี้กลับแล้วค่ะ

สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปนะคะ
ค่าตั๋วเครื่องบิน 15,000 บาท
ค่าตั๋วรถไฟ JR 11,000 บาท
แลกเงินสดไป 40,000 บาท
ค่าที่พัก 20,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 86,000 บาท เราเหลือเงินสดกลับมา 15,000 บาท
ทั้งทริปใช้เงินไป 86,000 - 15,000 = 71,000 บาท (ราคา 2 คนค่ะ)
ราคาต่อคน = 35,500 บาทจร้า
(ราคาข้างต้นเราไม่รวมค่าช็อปปิ้ง ส่วนค่ากิน ค่าจิปาถะอย่างอื่นรวมอยู่ในราคาข้างบนหมดแล้วค่ะ)

ใครมีคำถามตรงไหนถามได้เลยนะคะ ยินดีตอบมากๆ กระทู้อาจจะยาวไปหน่อย ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ แล้วเจอกันใหม่น๊าาา คิวชู

ความคิดเห็นทั้งหมด (0)

    รีวิวที่คล้ายกัน

    ทริปที่ใกล้เคียง

    ไอเดียที่ใกล้เคียง