เริ่มจาก เครื่องออก วัน พฤหัสฯ ที่ 20 ต.ค. 2559 เวลา ประมาณ 20.00 น. ณ สนามบิน ดอนเมือง (เครื่องดีเลย์เป็น ตี 2 แต่เราบอกเขาว่าเราต้องไปต่อไฟล์ที่จากาต้าเพื่อไป Subaraya เขาเลยหาไฟล์ทดแทนให้ - ซึ่งก็คือไฟล์ก่อนหน้า แต่ดีเลย์มาเป็นเวลาออกของเรา - -") บินประมาณ 3 ชม. กว่า ถึง Jakarta ประมาณ 23.30 น. คณะเรานอนที่สนามบิน Jakarta เพื่อรอเครื่องออกอีกทีตอน 5.30 น. (วันศุกร์ที่ 21 ต.ค. 2559) เพื่อไป Subaraya ถึงประมาณ 7.00 น. เรามีไกล์ของทีม Andrew (โด่งดังมาก ไปแล้วเจอแต่แก็งค์คนไทย) ไกด์ของเราชื่อ Basil อัธยาศัยดี เป็นมิตรกับทุกคน เพื่อนเยอะมากกกกก ทักทุกคนที่เดินผ่านตลอดทริป 55+ เรานั่งรถออกจากสนามบิน Subaraya เพื่อไปน้ำตก Madakaripura ประมาณ 3 ชม. ถึงประมาณ 10.30น.
สรุป: ดอนเมือง (DMK) -> Jakarta (CGK) -> Subaraya (ทุกไฟล์เป็นของสายการบิน Air Asia ค่ะ)
ถ้าใครบินไปถึงที่ Subaraya ตอนเช้าแล้วไปเที่ยวน้ำตกก่อนเหมือนเรา ขอแนะนำให้เตรียมสิ่งของใส่เป้ไปดังนี้:
1. Rain Coat - เปียกจริงจังนะคะ แบบฝนเทลงมาเลย ....
2. รองเท้าแตะ - ต้องเดินลุยน้ำ ลุยหิน ปีนป่ายเล็กน้อย อาจมีลื่น และรองเท้าหลุดบ้างระหว่างทาง (เราใส่แบบแตะหนีบไป) แนะนำว่า ถ้าใครหารองเท้ามีสายรัด แบบแตะเดินป่าได้ ใช้แบบนั้นจะดีสุดค่ะ
3. หมวก / แว่นตากันแดด - มีแดด และร้อน ไม่หนาวนะคะ
4. กางเกงขาสั้น - เป็น A must เลย เพราะว่า ต้องลุยน้ำ ควรหาผ้าที่แห้งไว เพราะตอนเดินกลับจะได้แห้งพอดีนะ ^^
พอถึงที่ Madakaripura Waterfall พวกเราก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็รองเท้า จากนั้น ถึงนาทีระทึก .... (ที่อ่านรีวิวไปก่อน ไม่มีใครกล่าวว่าต้องนั่งมอไซส์ความเร็วสูง) ไกด์ทิ้งเราให้ไปกับ ไกด์ท้องถิ่นที่นั่น แล้วก็ให้ซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปคันละคัน ที่สำคัญ ซิ่งสุดๆๆๆ มอไซด์ไม่มีมาตรวัดความเร็วนะจ๊ะ ซิ่งตามใจชอบเลยจ้า แต่ก็สนุกดี ลมโบกโชยตลอดทาง นั่งประมาณ 5 นาทีก็ถึงทางเข้าน้ำตกค่ะ...ระหว่างทางเดินก็มีวิวงามๆให้ชมค่ะ
หลังจากเดินชมนกชมไม้ มาสักระยะหนึ่ง (น่าจะประมาณ 1 กม.กว่าค่ะ) ก็ถึง น้ำตกขนาดใหญ่ที่รอคอย เป็นน้ำตกที่สูงใหญ่มาก สวยมากจริงๆค่ะ แต่พวกเรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่นานก็ต้องกลับ เพราะฝนตก ไกด์บอกว่า จะมีลิงภูเขาปาหินลงมาค่ะ พวกเราทุกคนรักชีวิต จึงรีบเก็บภาพแล้วออกจากพื้นที่โดยด่วนค่ะ
เราเดินทางออกจากน้ำตกประมาณ 12.30 น. ก็นั่งรถต่อ ประมาณ 2 ชม. เพื่อไป Bromo ^^ ถึงประมาณ 14.30 น. ค่ะ เราพักที่ Bromo Permai วิวหน้ารร.เป็นภูเขาเลย งามมากกกกก พอถึง ไกด์ก็ปล่อยเราพักผ่อนตามอัธยาศัย เรากับเพื่อนๆก็หาของพื้นเมืองทานแล้วก็เดินเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อย อากาศที่นี่ตอนเย็นๆ หนาวแล้วค่ะ มีลมด้วย อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่า มีสภาพความต้านทานอากาศอย่างไร แต่ในห้องพักที่นี่จะเย็นจัดนะคะ ควรเตรียมถุงเท้า และเสื้อกันหนาวใส่นอนไปด้วยค่ะ
จบทริปวันแรกจ้า เราเข้านอนตั้งแต่ 6 โมงเย็นเลย เพราะพรุ่งนี้เช้า เราจะไป ขึ้นเขา Bromo กันแล้วววว
วันเสาร์ที่ 22 ต.ค. 2559
ตื่นนอนเวลา ตี 3.30 น. (มานี่ ต้องนอนเร็วตื่นเช้า ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ 555+) นั่งรถ ไปประมาณ ครึ่งชม. ก็ถึง Bromo ค่ะ เช้านี้เราใช้รถ Jeep ในการขึ้นเขา เพราะรถธรรมดาขึ้นไม่ไหวค่ะ ตอนเช้ามืด จึงมีขบวนรถ Jeep หลากสี ขับกันเรียงแถวไปเลย ไปถึงก็เดินอีกนิดหน่อยเพื่อไปจุดชมวิว ดูพระอาทิตย์ขึ้น และดูภูเขา Bromo วันที่เราไป เราไม่ได้ขึ้นไปเดินบนเขา เพราะภูเขามันปะทุพอดี - -" แต่ไม่เป็นไรค่ะ ก็ถือว่า ได้วิวอีกแบบของที่นี่มาให้ชมกันนะคะ หมอกฟุ้งหนานุ่นมากๆเลยค่ะ
เริ่มกันตั้งแต่ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น....
หลังจากดูเสร็จ ก็เดินกลับไปที่รถ Jeep ค่ะ ระหว่างทางก็จะมีขายของกิน (ที่นี่นิยมกิน กล้วยทอด, มันทอด, และข้าวโพดปิ้งค่ะ) และของที่ระลึกต่างๆ
พอกลับมาที่รถ ก็เดินทางต่อไปทุ่ง Savanna ถึงที่นี่ประมาณ 6 โมงเช้าค่ะ
ที่นี่จะเป็นที่โล่งกว้างรายล้อมไปด้วย ภุเขาและเทือกเขาต่างๆ สวยงามแปลกตา พวกเราแวะถ่ายรูปกับรถ Jeep ที่นี่กันด้วยค่ะ
หลังจาก ถ่ายรูปกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ไปที่ต่อไป Sea of Sand ถัดจากตรงทุ่ง Savanna มานิดเดียวค่ะ ที่นี่ก็คล้ายๆที่เดิมแต่ทรายที่พื้นจะเป็นสีดำค่ะ พวกเราสามารถใช้เวลาได้เต็มที่นะคะ เพราะการมาเที่ยวที่นี่ ส่วนมากวันนึงเที่ยวได้แค่ 1 ที่เอง เสียเวลานั่งรถหลายชม.อยู่ค่ะ มีเวลาถ่ายรูปก็เก็บกันให้เต็มที่ค่ะ
หลังจากเที่ยวครบแล้ว เราก็กลับรร. ประมาณ 8 โมงเช้า เพื่อรับประทานอาหารเช้าของ รร. และ check out ตอน 11.00 น. เพื่อเดินทางต่อไป Ijen ค่ะ...วันนี้ช่วงบ่ายเราเสียเวลาไปกับการนั่งรถ ซึ่งการขับรถจาก Bromo -> Kawah Ijen (Ijen) ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชม.เลยทีเดียว เราถึงที่พักที่ Ijen ประมาณ 4 โมง พักที่ Ijen View ค่ะ โรงแรมที่นี่ดีกว่า Bromo มากกก (Bromo ห้องเย็น แล้วก็มี wifi ที่ช้ามากก ให้ใช้ได้เฉพาะที่ lobby เท่านั้น) แต่นี่ที่ เน็ตแรง และห้องพักดี มีสระว่ายน้ำด้วยนะคะ (สามารถไปว่ายน้ำได้ด้วย แต่เราไม่ได้เตรียมชุดไปง่ะ) แนะนำว่า อย่าไปแวะเถลไถลที่อื่นมากระหว่างมา Ijen มาพักที่รร.ดีกว่าค่ะ คณะของเรา ใช้บริการ Massage กันด้วย คนละ 100,000 Rp (ประมาณ 300 บาท) เป็นนวด Aroma คนนวด ญ ท้องถิ่น พูดอังกฤษไม่ได้จ้า ได้แต่ภาษามือ แต่เขาอัธยาศัยดีมาก พยายามชวนคุย แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม 555+
หลังจากนวดเสร็จพวกเราก็ต้องรีบเข้านอนค่ะ เพราะ 5 ทุ่มครึ่งของวันนี้เราต้องตื่นเพื่อเตรียมตัวไปดู Blue Flame กันแล้วววว เมื่อถึงเวลาตื่น ก็รีบเก็บของและมุ่งหน้าไปที่ Mt. Kawah Ijen Volcano ถึงที่นี่ประมาณ ตี 1.30 น. จากนั้น Basil ก็มอบพวกเราให้ไกด์ท้องถิ่น ชื่อ Hadi นางน่ารักอัธยาศัยดีไม่แพ้ Basil เลย ช่วย take care ดีตลอดการเดิน
ข้อแนะนำ สำหรับคนที่อยากไปดู Blue Flame:
1. เสื้อกันหนาวที่สามารถถอดผูกเอวได้เวลาเดิน เพราะเดินไปจะร้อนเหงื่อแตกค่ะ
2. รองเท้าที่ยึดติดพื้นผิวดี เพราะต้องปีนเขาที่เป็นดิน และทางเดินลาด 45 องศา
3. ความพร้อมของร่างกาย สภาพขาต้องได้ค่ะ - cardio ฝึกกันไปเลยค่ะ บางคนถ้าไม่ไหว หาไม้ไปช่วยก็ได้นะคะ
4. ไฟฉาย เพื่อส่องทางตอนเดินขึ้นค่ะ ส่วน Mask ทางไกด์มีเตรียมให้ค่ะ ต้องใช้แบบกรองอากาศกันเลย เพราะกลิ่นกำมะถันแรงมาก
เราใช้เวลาเดินขึ้นเขาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง ระยะทาง 4 กม. แต่ทางส่วนมากลาดชัน เดินไป พักไปตลอดทางค่ะ แต่จะบอกว่า คุ้มค่าที่ปีนขึ้นมาค่ะ วิวที่เห็นข้างในมันสวยมากกก พอเดินผ่านทางลาด 45 องศามาแล้ว เราก็นึกว่ามันจะจบ ที่ไหนได้ ต้องเดินปีนเขาที่เป็นหินๆต่อไป ในสภาพที่มืดๆ อีกประมาณ 30 นาที เป็นการปีนลงไปดูทะเลสาบ (ซึ่งตอนนั้นมองไม่เห็น) และ ดู Blue Flame ที่เกิดจาก Sulphur (กำมะถัน) สารตัวนี้จะเห็นเปลวไฟเป็นสีน้ำเงิน และมองเห็นในที่มืดเท่านั้นค่ะ เพราะงั้นต้องไปชมก่อนพระอาทิตย์ขึ้น...ภาพ Blue Flame เราเข้าไปถ่ายใกล้ๆไม่ได้ เพราะค่อนข้างอันตราย ไกด์เลยอาสาไปเก็บภาพมาให้ค่ะ ระหว่างที่รอภาพ ก็ต้องคอยดูหมอกควันว่าลอยมาทางเราหรือเปล่า ถ้าลอยมา ก็ต้องใส่ Mask ที่ไกด์เตรียมให้ค่ะ
ภาพด้านล่างเป็นภาพที่ไกด์เดินเข้าไปถ่ายใกล้ๆมาให้ค่ะ
ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ถ้าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้น ต้องมาช่วง กรกฎาคมเท่านั้นนะคะ ถึงจะเห็นค่ะ
โดยส่วนตัวคิดว่า มาเที่ยวที่นี่ ได้เห็นวิวหลายแบบมากเลย ทั้งแบบ Grand Canyon ที่เป็นชั้นหินทับทมกันเป็นเวลานาน, ไฟสีฟ้า ขนาดใหญ่ที่มองได้ด้วยตาเปล่า, กลุ่มควันที่ต้องใส่หน้ากาก ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งในชีวิตที่ได้ลองทำเลยค่ะ
ตอนลง เร็วกว่าตอนขึ้นนิดหน่อยค่ะ ลื่นๆบ้างแต่ก็ไม่หนักหนาอะไร เราลงมาที่ตีนเขา ประมาณ 7 โมงเช้า จากนั้นนั่งรถยาวไป Subaraya ค่ะ จากนั้นก็เข้าพักที่ รร. ประมาณ 4 โมงเย็น ชื่อ Gunawangsa Hotel โรงแรมในเมืองใช้ได้เลยค่ะ wifi เร็ว ห้องพักดี จากนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ
วันจันทร์ที่ 24 ต.ค. 2559
เราใช้เวลาทั้งวัน ไปกับการเดินทางกลับ กรุงเทพฯ ค่ะ 555+ check out จากโรงแรม 9 โมง เครื่องออกจาก Subaraya 11.30 น. นั่งสายการบินในประเทศ ชื่อ Citi Link - ข้อควรระวัง: อย่าเก็บสิ่งของมีค่าไว้ในกระเป๋าที่โหลดขึ้นเครื่อง เนื่องจาก นน.กระเป๋าได้คนละ 15 กก. เพื่อนเราทุกคนโหลดค่ะ แล้วบางใบไม่ได้ล็อค ปรากฏว่า มือถือกับเงินหาย ~.~ นั่งเครื่องประมาณ 1 ชม. ก็ถึง Jakarta ค่ะ ช็อปปิ้งใน Duty Fee รอเครื่องออกกลับกทม.ค่ะ
เรานั่ง Air Asia ออกจาก Jakarta เวลา 4 โมงเย็น ถึง ดอนเมืองตอน 2 ทุ่มค่ะ หัวเราะ
สรุป:
การไปเที่ยวครั้งนี้ ส่วนใหญ่เสียเวลานั่งรถนานไปหน่อย เหมือนเราไปเที่ยวตจว.บ้านเขา เพราะฉะนั้นวันนึงเที่ยวได้แค่ 1 ที่เองค่ะ อากาศกลางวันร้อน ถ้าอยู่บนเขา กลางคืนจะหนาว คนอัธยาศัยดี แต่สภาพบ้านเมืองโดยรวมคล้ายเราเลย รถชอบบีบแตร เพื่อส่งสัญญาณว่าชั้นจะไปนะ... เงินส่วนมากไม่ค่อยได้ใช้ เพราะมีแต่ป่าเขา 55+ มีซื้อของตาม Mini Mart ที่นั่นจะมี Alfa และ Indo Maret ค่ะ
ค่าใช้จ่าย:
- ตั๋วเครื่องบิน รวมแล้วประมาณ 8,500 บาท
- ค่าทริปที่อินโด (เราติดต่อไกด์ไปก่อนแจ้งเขาว่าจะไปไหนมั่ง ถึงแล้วก็ค่อยจ่ายให้เขาเป็นเงินอินโดค่ะ) รวมคนละ 1,800,000 Rp. (Rate = 0.00275) คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 4,950 บาท (รวมทุกอย่างทั้งที่พัก, ไกด์ท้องถิ่น และอาหารเช้า 2 มื้อ)
รวม ประมาณ 18,000 บาทค่ะ
++ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมกันนะคะ++
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)