มาถึงญี่ปุ่นแล้วเริ่มเที่ยวที่แรก ตามแพลนเราจะไปถ่ายรูปกันที่ สะพานนิจุบาชิ (Nijubashi) หรือสะพานแว่นตา ซึ่งเป็นสะพานที่ใช้ข้ามไปยังพระราชวังอิมพีเรียล แต่ประชาชนทั่วไปเข้าไปไม่ได้ ยกเว้นในวันที่ 2 มกราคมและวันเฉลิมพระชนม์พระจักรพรรดิเท่านั้น ที่จะอนุญาตให้ประชาชนข้ามสะพานเข้าไปเที่ยวชมพระราชวังได้อย่างใกล้ชิด โดยตัวสะพานมีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลม 2 วงติดกัน เมื่อสะท้อนกับผิวน้ำจะมีลักษณะคล้ายแว่นตา สะพานแห่งนี้จึงเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยจะนิยมมาช่วงเช้าเพื่อที่จะได้เห็นแสงสะท้อนคล้ายแว่นตา
วิธีเดินทางคือ จากสถานี Ueno นั่งรถไฟใต้ดินสายสีส้ม Ginza line ลงสถานี Ginza G.09 จากนั้นเปลี่ยนไปสายสีเทา Hibiya line ลงทีสถานี Hibiya H.07 ต่อด้วย สายสีเขียว Chiyoda line ลงสถานี Nijubashimae C.10 ใช้ทางออก exit. 2 เดินผ่านสวนสาธารณะ แล้วข้ามถนน ก็จะมองเห็นสะพานแว่นตา / หรือ นั่งสายสีเทา Hibiya line H.17 ลงทีสถานี Hibiya H.07 แล้วค่อยต่อสายสีเขียวก็ได้เหมือนกัน
หลังจากถ่ายภาพที่สะพานแว่นตาเสร็จแล้ว ก็หันมาเก็บภาพบริเวณรอบๆ พระราชวังอิมพีเรียลกันต่อ ซึ่งโดยรอบนั้นจะเป็นพื้นที่ของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถ้ามาช่วงเช้าๆ จะเห็นคนญี่ปุ่นมาวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่ด้วย
เสร็จจากสะพานแว่นตาแล้ว ไปเที่ยวกันต่อที่ตึกโมริทาวเวอร์ (Mori Tower) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านรปปงหงิ (Roppongi) โมริทาวเวอร์เป็นตึกระฟ้า 54 ชั้นที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในโตเกียว ที่ตึกนี้เราจะขึ้นไปที่หอชมวิว (Tokyo City View) ที่นี่เราสามารถชมวิวโตเกียวได้แบบ 360 องศา และตรงนี้จะเป็นจุดที่เราสามารถมองเห็นโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) ได้อย่างเต็มๆ ตา
นอกจากโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) แล้ว เรายังสามารถมองเห็นสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) ที่ใช้ข้ามไปยังโอไดบะ (Odaiba) ด้วย
วันที่สองของการเดินทางเที่ยวประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ เราจะเดินทางไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชิราคาวาโกะกัน โดยเราได้ซื้อทัวร์ไว้กับบริษัททัวร์ของญี่ปุ่น เป็นทัวร์นำเที่ยว ทาคายาม่า - ชิราคาวาโกะแบบ 2 วัน 1 คืน เริ่มออกเดินทางจากโตเกียวมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านในนิทานกันเลย โดยเรามาขึ้นรถบัสที่ตรงสถานีชินจูกุ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงเศษ ระหว่างการเดินทางนั้นรถบัสก็จะจอดแวะพักรถตามจุดจอดต่างๆ โดยรถจะแวะจอดชั่วโมงละหนึ่งครั้ง
นั่งรถหลับๆ ตื่นๆ ไม่นานเราก็มาถึงกันแล้ว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-Go) เป็นหมู่บ้านชาวนาเล็กๆ ในหุบเขา และยังเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการเลือกให้เป็นหมู่บ้านมรดกโลก ที่ได้รับการอนุรักษ์ สภาพของหมู่บ้านไว้เป็นอย่างดี สิ่งที่พิเศษของหมู่บ้านนี้คือ หลังคาบ้านที่เป็นแบบกัสโซ่ (Gassho-style) หลังคาทรงสูงที่มีความชันมากถึง 60 องศากับพื้นดินจนดูเหมือนคนพนมมือ คนญี่ปุ่นจึงเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่า กัสโช ที่แปลว่าสร้างแบบพนมมือ
ในช่วงตอนเย็นๆ หมู่บ้านจะมีการเปิดไฟ และการที่ได้มาชมเทศกาล Light Up ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะถือเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาเที่ยวญี่ปุ่นในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเราตั้งใจมาเพื่อดูการแสดง Light Up จริงๆ ซึ่งเทศกาล Light Up ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ใน 1 ปี จะจัดแค่ไม่กี่วันเท่านั้น สำหรับปี 2016 จะมีการเปิดไฟ Light Up ในวันเสาร์ที่ 16 ม.ค , วันเสาร์ที่ 23 วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค , เสาร์ที่ 30 อาทิตย์ที่ 31 ม.ค , วันอาทิตย์ที่ 7 และวันอาทิย์ที่ 14 ก.พ 2016 โดยเราเลือกที่จะเดินทางมาในวันที่ 14 ก.พ ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี
ในปี 2016 นั้นทางหมู่บ้านจะจัดเทศกาลเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น และจัดเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ จุดที่เห็น Light Up ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่สวยที่สุดคือ จุดชมวิวชิโระยะมะ (Shiroyama) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่เห็นแสงสีที่สวยงามที่สุดอีกจุดหนึ่งในหมู่บ้านชิราคาวาโกะ สำหรับช่วงเวลาที่เปิดไฟคือ 17.30 น. – 19.30 น.
วันที่สามเราจะไปเที่ยวกันต่อที่เมืองเก่าที่ตั้งอยู่ใจกลาง ฮิดะ ทาคายาม่า (Hida Takayama) สถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ทางด้านสถาปัตยกรรม โดยวิวระหว่างทางที่รถวิ่งไปนั้น สองข้างทางจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด
นั่งดูวิวข้างทางมาแบบเพลินๆ เผลอแป๊ปเดียวเราก็เดินทางมาถึงเมืองเก่าใน ฮิดะ ทาคายาม่า (Hida Takayama) กันแล้ว บรรยากาศโดยรอบยังคงหนาวเย็น เมื่อเรามาถึงเมืองเก่า เราจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของบ้านเมืองอันเก่าแก่
เดินเล่นรอบๆ เมืองซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ
เดินเล่นในย่านเมืองเก่า ฮิดะ ทาคายาม่า แล้วจากนั้นเราจะไปต่อกันที่ลานสกีใกล้ๆ กับน้ำตกฮิรายุ (Hirayu) โดยน้ำตกฮิรายุนั้นถือว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองฮิดะ เลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความสูงของน้ำตกที่สูงถึง 64 เมตร จึงทำให้ที่นี่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของน้ำตกสูงของประเทศญี่ปุ่น ใครที่กำลังแพลนว่าจะมาเที่ยวเมืองฮิดะ แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาด
เสร็จจากการเที่ยวน้ำตกฮิรายุ (Hirayu) และลานสกีแล้ว หลังจากนี้เราจะมุ่งหน้ากลับเข้าโตเกียวกันแล้ว ขากลับนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงเศษเหมือนเดิม รถบัสก็มาจอดส่งให้ลงที่สถานีรถไฟชินจูกุ จากนี้ก็เป็นเวลาของการช้อปปิ้งทั้งของฝากซื้อและซื้อฝาก เสร็จจากช้อปปิ้งก็รีบกลับที่พักไปแพ็คกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้เราเหลือเวลาเที่ยวอีก 1 วันก็จะเดินทางกลับกันแล้ว
มาถึงวันสุดท้ายที่เราจะได้เที่ยวญี่ปุ่นกันแล้ว วันนี้ตื่นเช้ากว่าทุกวันเพราะต้องทำเวลา มีแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวหลายที่ แต่ที่เที่ยวหลักๆ ที่ต้องไปให้ได้เลยก็คือ โตเกียวทาวเวอร์ อยากจะไปเห็นหอคอยแบบชัดๆ ใกล้ๆ สักครั้ง จริงๆ วันแรกมีโอกาสได้ไปแล้ว แต่แค่ไปยังไม่ถึงเท่านั้นเอง
วันนี้อากาศดีท้องฟ้าโปร่งมาก ไร้ก้อนเมฆมาบดบังทัศนียภาพ เหมาะแก่การเดินเล่นถ่ายรูปแบบชิลๆ สุดๆ ไม่รู้เป็นยังไงนะเที่ยววันสุดท้ายทีไรอากาศมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เราเริ่มเที่ยวที่แรกกันที่วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) วัดนี้เป็นวัดใหญ่ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนนิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) วัดอาซากุสะเป็นวัดที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่งในโตเกียว จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเพื่อสักการะและเที่ยวชมภานในตัววัดและบริเวณภายนอก ด้านหน้าของวัดอาซากุสะจะเป็นที่ตั้งของถนนนากามิเสะ (Nakamise) ถนนทางเดินทอดยาวเข้าสู่ภายในวัด โดยสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย
สัญลักษณ์ของวัดอาซากุสะนี้ที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันก็คือ โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่เขียนตัวอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า ประตูสายฟ้า เมื่อเดินผ่านถนนนากามิเสะมาจนสุดก็จะพบกับซุ้มประตูใหญ่อีกหนึ่งซุ้ม ซึ่งก็มีโคมกระดาษสีแดงลูกใหญ่แขวนอยู่อีกหนึ่งลูกเขียนว่า โคะบุเนะโจ
เมื่อเข้ามาภายในวัด มองไปทางด้านซ้ายมือจะเห็นเจดีย์ 5 ชั้น ชื่อโกโจ-โนะ-โตะ (Gojo-no-to) มีขนาดสูง 64 เมตร ตั้งอยู่ การเดินทางมาวัดอาซากุสะนั้นนั่งรถใต้ดินมาจะสะดวกที่สุด คือ นั่งรถไฟใต้ดิน (Subway) สายสีส้ม Ginza line มาลงสถานี Asakusa G.19 แล้วใช้ทางออก 3 เดินเท้าไปอีกนิด ก็จะเจอบริเวณด้านหน้าของวัด การเข้าชมในวัดเซ็นโซจิหรือวัดอาซากุสะสามารถเข้าได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
เสร็จจากการเที่ยวชมวัดอาซากุสะแล้ว เราจะไปเที่ยวกันต่อที่ โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) แต่ก่อนจะถึงนั้นเราจะต้องเดินผ่านวัดโซโจจิ (Zojoji Temple) ก่อน เลยขอแวะเข้าไปถ่ายรูปนิดนึง วัดโซโจจิเป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายโจโด ในเขต คันโต โดยวัดที่เรามาเที่ยวกันนี้เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1622 เพื่อทดแทนของเดิมที่ถูกเพลิงไหม้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและจากภัยสงคราม จะมีก็แต่ประตูทางเข้าเซ็นเกะดะ ทัสสุมอน (Sangedatsumon) เท่านั้นที่ยังเป็นของเดิมอยู่
ภายในวัดมีต้นซากุระให้ได้ชมกันด้วย ช่วงที่เราไปซากุระก็กำลังออกดอกพอดี แต่ยังออกดอกไม่หมด พอมีให้เห็นบ้างนิดหน่อย
วัดโซโจจินั้นเปิดบริการทุกวันและเข้าชมฟรี การเดินทางมายังวัดโซโจจิ คือ ให้นั่งรถไฟสาย JR Yamanote และต่อสาย JR Keihin-Tohoku Line มาลงที่สถานี Hamamatsucho จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็จะถึงวัดโซโจจิ แต่ถ้าใครนั่งรถใต้ดินก็ให้นั่งสายสีเทา Hibiya line มาลงสถานี Kamiyacho H.05 แล้วเดินเท้าต่ออีกประมาณ 10 นาที
เดินออกจากวัดโซโจจิ (Zojoji Temple) มาตามทางเดินด้านข้างของวัด เดินมาตามทางเรื่อยๆ เราก็มาถึง โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) กันแล้ว ซึ่งสองข้างทาง ที่เดินมานั้นเต็มไปด้วยต้นซากุระจำนวนมาก ถ้ามาในช่วงที่ดอกซากุระบานต้องสวยมากแน่ๆ
ถ่ายรูปโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) จนพอใจแล้ว มองเวลาอีกทีก็เลยบ่ายมามากแล้ว เรารีบกลับไปหาอะไรกินกันแถวๆ สถานีอุเอโนะ Ueno กินเสร็จเราก็ขึ้นรถไฟ Keisei จากสถานีอุเอโนะเพื่อกลับสนามบินนาริตะ (Narita Airport) ทริปเที่ยวญี่ปุ่นไปดู Light Up ที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ของเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ ไว้คราวหน้าจะพาไปเที่ยวกันใหม่นะคับ
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)