5 ที่เที่ยวมอลตา เกาะสุด unseen เมืองสวรรค์ของยุโรปใต้
"มอลตา" หลายคนคงไม่คุ้นชื่อประเทศนี้ ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ซึ่งอาจจะมองว่าไม่มีอะไรที่พิเศษ แต่แท้จริงแล้ว เป็นอีกหนึ่งประเทศที่สวยมาก แถมมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และได้ขนานนามว่า "ไข่มุกน้ำงามแห่งเมดิเตอร์เรเนียน" อีกด้วย
1. Blue Lagoon
ในสาธารณรัฐมอลต้านั้นจะประกอบไปด้วยเกาะหลักทั้งหมด 3 เกาะ ได้แก่มอลต้า (Malta), โกโซ่ (Gozo) และโคมิโน (Comino) โดยเกาะโคมิโนจะเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเกาะมอลต้าและโกโซ่ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักและโด่งดังมาก ด้วยความสวยของทัศนียภาพ จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นสวารรค์บนดินเลยทีเดียว ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างมาก ด้วยความที่บรรยากาศสุดผ่อนคลาย คู่กับน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ที่ใสราวกับคริสตัล แถมยังดูมีชีวิตชีวา และกิจกรรมในชายหาดก็มีให้ทำอีกเพียบ
Blue Lagoon นั้นเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดในประเทศมอลต้า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่น้ำตื้นซ่อนตัวอยู่ระหว่างเกาะเล็กเกาะน้อย ซึ่งทำให้เกิดเป็นสระว่ายน้ำจากธรรมชาติขึ้นมา ที่ตรงนี้สามารถว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือสน็อกเกิ้ลได้ นอกเหนือจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ที่นี่ก็มีกีฬาทางน้ำให้เล่นด้วย เช่น Parasailing, Twister, Flyfish และอีกมากมาย แถมใครที่จะอยากพักผ่อนไม่ได้อยากทำกิจกรรมอะไรหนักๆ ก็สามารถเช่าร่มและเก้าอี้ชายหาดเพื่อนอนอาบแดดได้
โดยทั่วไปแล้ว ช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนกันยายน มักจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ซึ่งอากาศช่วงนี้จะร้อน อย่าลืมที่จะเตรียมตัวมาให้ดี ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับการมาเกาะ รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม หากไม่ได้เตรียมมา ที่แห่งนี้ก็มีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการกับนักท่องเที่ยว เรียกได้ว่าพร้อมบริการทุกอย่าง เพื่อประสบการณ์ในการพักผ่อนอย่างแท้จริง
2. Upper and Lower Barrakka Gardens
สวน Upper Barrakka Gardens เป็นสถานที่ที่สวยเกินคำบรรยายมาก เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย และเป็นสถานที่เหมาแก่การนั่งพัก มาสงบจิตใจ หรือเดินเล่นเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ พร้อมกับการชมวิวสุดอลังการที่รายล้อมที่สวนแห่งนี้ แถมสามารถมาที่นี่เมื่อไรก็ได้ตามที่เราต้องการ เนื่องจากสวนนี้ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมือง ซึ่งในสวน Upper Barrakka Gardens เราสามารถมองเห็นวิวของ Grand Harbour ได้ มองเห็นวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ทอดยาวจนสุดเส้นขอบฟ้า พร้อมทั้งยังมีวิวเมือง Three Cities อย่าง วิททอริโอซา (Vittoriosa), คอสปิคัว (Cospicua) และแซงเกลีย (Senglea) เรียงอยู่เบื้องหน้า
ทางเดินภายในสวนเต็มไปด้วยประตูโค้ง ซึ่งเป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัศวินชาวอิตาเลียน ในปัจจุบันสวนนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสวนหย่อมหน้าตาสวยงาม และเปิดให้ผู้คนทั่วไปได้เข้ามาชมได้ โดยในสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ อนุสาวรีย์ และน้ำพุ เมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศในที่แห่งนี้จะรู้สึกสงบและผ่อนคลาย ช่วยให้เสพย์ภาพวิวตรงหน้าได้อย่างสุนทรีย์ มุมจากสวนนี้จะได้เห็นวิวของมอลตาแบบพาโนรามานี้ และช่วงเวลาไฮไลทท์ที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้จะตก เราจะได้เห็นแสงสีทองสาดส่องทั่วพื้นที่ โรแมนติกแถมอบอุ่นสุดๆ ไปเลย
นอกจากนี้ยังมีพิธีการยิงปืนใหญ่ทุกวัน และเวลาจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ 12:00 และ 16:00 เราสามารถรอชมผ่านระเบียงชมวิวของสวนได้ เป็นหนึ่งกิจกรรมที่ต้องมาให้เห็นกับตา ทั้งนี้ภายในสวนจะมีร้านค้าที่คอยให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นขนม เครื่องดื่ม และอื่นๆ อีกมากมาย ให้ทุกคนได้รับประทานพร้อมกับชมวิวสวยๆ อิ่มท้องพร้อมอิ่มวิว ฟินสุดๆ
3. Old Mint Street
เป็นย่านเก่าแก่ย่านวาเลนต้า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาเยือนที่แห่งนี้จะเหมือนหลุดเข้ามายังในจินตนาการของตัวเอง สถาปัตยกรรมที่ดูสวยเกินจริง เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่นักท่องเที่ยวต้องได้มาเช็คอินเช่นเดียวกัน ด้วยความที่พื้นที่แห่งนี้ มีสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ บวกเข้ากับประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สอดคล้องกัน
ซึ่งถนนในย่านนี้มีความคล้ายกันเป็นอย่างมาก แต่ถนนที่มีชื่อเสียงคงหนีไม่พ้น "ถนนมิ้นท์" แห่งนี้ ซึ่งมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ ได้เยอะแยะเต็มไปหมด โดยมุมที่แนะนำจะเป็น ถนนเก่าวัลเลย์ต้า ที่เหมาะที่สุดในการถ่ายภาพคือ Old Mint Street และอีกมุมที่น้อยคนจะรู้นั่นก็คือ 1 Day Roast Street ที่สำคัญช่วงเวลาที่เหมาะกับการถ่าบรูปจะเป็นช่วงก่อน 15.00 เพราะหลังจากนี้แสงจะส่องไม่ถึงแล้ว
4. Popeye's Village
Popeye’s Village หรือ หมู่บ้านป๊อปอาย ที่ทุกคนรู้จักจากการ์ตูนเรื่อง ป๊อปอาย โดยที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1929 และทำเป็นการ์ตูนในปี 1960 ซึ่งไม่นานก็ได้รับความนิยมอย่างมาก ปัจจุบันภายในหมู่บ้านป๊อปอายก็ยังคงสภาพเดิมเหมือนในการ์ตูน และได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต โดยเราจะได้พบฉากและตัวละครที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น ป๊อปอาย, โอลีฟ ออยล์, บลูโต, สวีทพี และวิมปี นอกจากนี้ยังมีโซนที่เราสามารถเยี่ยมชมบ้านและพิพิธภัณฑ์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่รวบรวมซิกเนเจอร์ของป๊อปอายไว้
ที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ฉากหรือตัวการ์ตูนให้เราชมและถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว แต่มีกิจกรรมให้ทำอีกมายมาย ไม่ว่าจะเป็นการทัวร์พิพิธภัณฑ์ป๊อปอาย ดูละครหุ่นสุดคิ้วท์ ชมการ์ตูนป๊อปอายในโรงภาพยนตร์สุดแสนจะคลาสสิค รวมถึงถ่ายหนังป๊อปอายเวอร์ชั่นที่เราเป็นนักแสดงเอง ตรงนี้คือน่ารักมากๆ
นอกจากนี้ไม่ได้มีกิจกรรมสำหรับเด็กเท่านั้น ยังมีกิจกรรมเอาใจผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน นอกจากจะเดินเที่ยวชมเมืองแล้ว ยังมีบริการให้เล่นในสนามกอล์ฟขนาดเล็ก และโปรแกรมชิมไวน์ฟรีอีกด้วย สำหรับช่วงเทศกาลพิเศษก็จะมีกิจกรรมที่เพิ่มเข้ามาเช่น พาเหรดคริสต์มาสและเที่ยวชมเมืองของเล่นซานต้าช่วงเดือนธันวาคม บอกได้เลยว่าอินกับบรรยากาศสุดๆ
5. St. John's Co-Cathedral
โบสถ์สวยๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองวาเลตต้า เป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่ต้องมาเยี่ยมชม เหมาะกับใครที่ชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ ศาสนาและสถาปัตยกรรม ซึ่งโบสถ์ St. John's Co-Cathedral ได้รวบรวมเอาไว้ในที่เดียวแล้ว ด้วยความที่โบสถ์แห่งนี้มีการออกแบบและบูรณะมาให้เป็นสไตล์บาโรก จึงเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นหนึ่งในโบสถ์สไตล์บาโรกที่สวยที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าภายในถูกประดับตกแต่งได้สวยมากจริงๆ มีความวิจิตร ที่ถูกถ่ายถอดออกมาให้ผู้คนสัมผัสถึงความงดงามนี้ได้
ภายในโบสถ์จะใช้โทนสีทองเป็นหลักพร้อมมีภาพเขียนที่ประณีต ทำให้สองสิ่งนี้รวมเข้ากันแล้วสวย อลังการอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วยิ่งประดับประดาด้วยข้าวของที่ดูเข้ากัน ไม่ว่าจะเป็นพรม หรือพื้นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งดูสวยสุดๆ แล้วยิ่งเพดานและหลังคา ได้ถูกวาดไปด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาด้วยแล้ว โบสถ์แห่งนี้ดูมีพลังขึ้นมา
การเยี่ยมชมโบสถ์ St. John's Co-Cathedral จำเป็นต้องมีการวางแผนให้ดี เพราะมีช่วงเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน ซึ่งในวันธรรมดาจะเปิดถึง 16.30 และ ในวันเสาร์จะเปิดถึง 12.30 โดยประตูจะปิดให้เข้าชม 30 นาทีก่อนเวลาปิดจริง อย่าลืมวางแพลนมาให้พร้อมกันน้า
ประเทศมอลต้า เป็นประเทศหมู่เกาะที่แนะนำให้ไปเที่ยวมากๆ บ้านเมืองสวย กลิ่นอายของประวัติศาสตร์สุดแสนจะโรแมนติก แถมไปเที่ยวก็ง่าย ค่าใช้จ่ายไม่แพงเมื่อเทียบกับประเทศในแถบยุโรป แถมไปง่ายอีกด้วยนะ
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)