Travel Bubble เที่ยวปลอดภัยยุค COVID-19
ช่วงหลายเดือนมานี้ govivigo เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงเหงา อยากออกไปท่องเที่ยวกันใจจะขาด แต่ดันมาประสบปัญหาไวรัส โควิด-19 ทำให้หลายประเทศ รวมถึงไทยต้องทำการปิดประเทศ หรือที่เรียกว่า "Lockdown" เพื่อให้ทุกคนได้กักตัวอยู่บ้าน ลดการระบาดของ COVID-19 ซึ่งผลจากการรับมือในช่วงหลายเดือนมานี้ ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ค่อยๆ เริ่มส่งสัญญานดีขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ทุกคนต้องกักตัวและปิดประเทศไปนั้น ทำให้เศรษกิจทั่วโลกไม่ค่อยสู้ดี เนื่องจากไม่มีรายได้หมุนเวียน ด้านพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการต่างๆ ก็ไม่มีรายได้เข้ามา รวมถึง อุตสหกรรมด้านการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจ สายการบิน โรงแรม ทัวร์ ฯลฯ ก็บอบช้ำรุนแรงเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย จึงได้มีการเปิดประเทศเพื่อหวังฟื้นฟูการท่องเที่ยวโดยนำโมเดลท่องเที่ยวที่เรียกว่า "Travel Bubble" เข้ามาช่วยเยียวยาผ่อนคลายสถานการณ์ท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศให้ดีขึ้น
รู้จัก Travel Bubble
Travel Bubble (ทราเวล บับเบิ้ล) หรือ ระเบียงท่องเที่ยว เป็นการตกลงจับคู่ทำสัญญากันระหว่างประเทศ (อาจมากกว่า 2 ประเทศขึ้นไป) ที่มีความปลอดภัยและสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีมากพอ เพื่อให้ประชาชนที่พำนักอยู่ภายในประเทศนั้นๆ สามารถเดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศที่จับคู่กันได้อย่างมีอิสระมากขึ้น เช่น ไม่ต้องโดนกักตัว 14 วัน ทั้งขาเข้า-ออก แต่ต้องมีการขอเอกสารรับรองแสดงประวัติทางด้านสุขภาพว่าไม่ติดเชื้อโควิด-19 การใช้แอปพลิเคชันติดตามตัวตลอดการเดินทาง และที่สำคัญคือต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรการป้องกันโรค COVID-19 ด้วยวิธีการหรือเงื่อนไขอื่นที่แต่ละคู่ประเทศจะตกลงกัน เป็นต้นต้นแบบโมเดล Travel Bubble
ประเทศคู่แรกที่ถือเป็นต้นแบบของโมเดลทราเวลบับเบิ้ลก็คือ นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย ซึ่งทั้งคู่ใช้ชื่อว่า Tran-Tasman Travel Bubble โดยคู่ประเทศทั้งสองตกลงยินยอมให้มีการเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องให้มีการกักตัว แต่ยังคงมีมาตรการตรวจเข้มข้นที่สนามบินของแต่ละประเทศท่องเที่ยวเทรนด์ใหม่แบบ Travel Bubble
มาดูกันดีกว่าว่าประเทศไหนมีแพลนจะใช้ Travel Bubble นี้บ้าง ทั้งนี้ข้อมูลอาจมีการอัพเดตและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามแต่สถานการณ์ในแต่ละประเทศประเทศที่เริ่มใช้ Travel Bubble แล้วในปี 2563
- จีน จับคู่กับ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า
- แคนาดา จับคู่กับ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน เวียดนาม และเกาหลีใต้
- กลุ่มประเทศบอลติค เช่น เอสโตเนีย ลัตเวีย และ ลิทัวเนีย จับคู่เดินทางกันเอง
ประเทศที่เริ่มใช้ Travel Bubble ในเดือนมิถุนายน 2563
- ออสเตรีย จับคู่กับ เยอรมนี ลิกเตนสไตน์ สวิตเซอร์แลนด์ สโลวาเกีย สโลวีเนีย เช็กเกีย และ ฮังการี (เริ่มตั้งแต่ 4 มิ.ย.)
- ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย จับคู่กับ เดนมาร์ก เยอรมนี นอร์เวย์ ฟินแลนด์ (เริ่ม 15 มิ.ย.)
- จีน จับคู่กับ สิงคโปร์ โดยมีแค่ กลุ่มธุรกิจ 6 เมืองในจีน คือ เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ฉงชิ่ง กว่างตง เจียงซู และ เจ้อเจียง (เริ่ม 8 มิ.ย.)
- เช็กเกีย จับคู่กับ ออสเตรีย สโลวาเกีย และ โครเอเชีย (เริ่ม 8 มิ.ย.)
- กรีซ จับคู่กับ 29 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ อัลบาเนีย ออสเตรเลีย ออสเตรีย มาซิโดเนียเหนือ บัลกาเรีย เยอรมนี เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เอสโทเนีย ญี่ปุ่น อิสราเอล จีน โครเอเชีย ไซปรัส แลตเวีย เลบานอน นิวซีแลนด์ ลิทัวเนีย มอลตา มอนเตเนโกร นอร์เวย เกาหลีใต้ ฮังการี โรมาเนีย เซอร์เบีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย สาธารณรัฐเชค และ ฟินแลนด์ (เริ่ม 15 มิ.ย.)
- เยอรมนี จับคู่กับ ฝรั่งเศส ออสเตรีย และ สวิสเซอร์แลนด์ (เริ่ม 15 มิ.ย.)
- เบลเยียม จับคู่กับ ผู้เดินทางมาจาก EU รวมทั้ง อังกฤษ (เริ่ม 15 มิ.ย.)
ประเทศที่จะเริ่มใช้ Travel Bubble ในเดือนกรกฏาคม 2563
- ญี่ปุ่น จับคู่กับ ไทย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และ เวียดนาม (คาดเริ่ม ก.ค. 2563)
ประเทศที่จะเริ่มใช้ Travel Bubble ในเดือนกันยายน 2563
- นิวซีแลนด์ จับคู่กับ ออสเตรเลีย อาจมีเพิ่มเติมเช่น ฟิจิ อิสราเอล และ คอสตาริก้า เข้าร่วมภายหลัง
ประเทศที่คาดว่าจะเริ่มใช้ Travel Bubble ช่วงประมาณปลายปี 2563
- ไทย จับคู่กับ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม พม่า ลาว ฯลฯ เป็นต้น
ประเทศไทยเอง นอกจากจะมีการคลาย Lockdown ในระยะที่ 4 ซึ่งจะเริ่มใช้วันที่ 15 มิถุนายน 2563 นี้แล้ว ก็สนใจการเปิดประเทศเพื่อท่องเที่ยวโดยทำ Travel Bubble เช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประมาณปลายปี 2563 และจะเลือกประเทศที่มีการรับมือการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี มีการตรวจเชื้ออย่างเข้มงวด ทั้งขาออกจากประเทศต้นทางมาถึงประเทศไทย โดยมีแนวทางในการคัดเลือกคือ
- ผู้เดินทางจะต้องมีการซื้อประกันสุขภาพ และมีใบรับรองสุขภาพอย่างละเอียด
- เมื่อเดินทางมาถึงแล้วจะไม่ต้องมีการกักตัว แต่จะต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น
- กลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา จะเป็นกลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มที่เข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ หรือ เมดิคัลทัวร์ลิสต์ ที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยวและมีความจำเป็นต้องเข้ามา
- นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว จะมีระบบติดตาม
ทั้งนี้ จะต้องหารือกับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ก่อนจะออกมาตรการเพื่อบังคับใช้จริงต่อไป
ประเทศที่คาดว่าจะมีการจับคู่กับไทยในระยะแรกคือ
- จีน ฮ่องกง มาเก๊า ซึ่งได้มีการหารือกันแล้วระหว่าง ภาครัฐระดับเมืองของจีน และสำนักงานพาณิชย์ของฮ่องกงแสดงความประสงค์ที่จะหารือกับฝ่ายไทยต่อ เพื่อให้เกิด Travel Bubble ระหว่างกัน
- เวียดนาม มีการหารือแล้วกับ Vietnam National Administration of Tourism (VNAT) ซึ่งแสดงความสนใจที่จะหารือกับฝ่ายไทยต่อ
- ประเทศอื่นๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ลาว เมียนมา กัมพูชา และ ตะวันออกกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างหารือ โดยสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศ
ทั้งนี้อาจเริ่มพร้อมกันหลายประเทศในลักษณะเป็น Group Bubble ก็ได้ และคาดว่าอีกหลายๆ ประเทศก็จะเริ่มหันมาใช้มาตการนี้กันมากขึ้น ถึงแม้จะมีมาตการ Travel Bubble มาช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ท่องเที่ยวในแต่ละประเทศให้ดีขึ้น แต่ govivigo ก็อยากให้เพื่อนๆ ท่องเที่ยวกันอย่างปลอดภัย "ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก" ดูแลตัวเองกันด้วยน้า
ข้อมูลจาก : เก่งภาษามาเป็นนักแปลและล่ามอาชีพ, positioningmag.com, bangkokbiznews.com
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)