เราออกเดินทางไปเมื่อวันที่ 10-11 ก.ค. ที่ผ่านมาไปกับ "อั่งเปา" งงสิงง ไม่ใช่ซองแดงอะไรทั้งนั้น 5555555 แต่เป็นเจ้า HONDA CB500X นั่นแหละ ชื่อลูกชาย มอเตอร์ไซค์คู่ใจของแฟนเก๊าเอง ในเมื่อใจมันเรียกร้อง ชีพจรลงเท้า คันไม้คันมืออยากจะบิดเต็มทีก็ไม่รอช้า เราสตาท์ออกจากบ้านกันตั้งแต่ตีห้า
แวะเติมน้ำมันให้เต็มถัง เติมเสร็จแล้วก็ลุยกันเลย
ออกจากปั้มได้ก็บิดกันไปยาวๆๆเลยค่ะ
This is the vacation time ~ ~ เพลงนี้ลอยมาตอนที่หน้าปะทะลม ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี คือดีอะ
บรรยากาศดีดีย์ อากาศก็ดี ฝนก็ไม่ตก รถก็ไม่เยอะ เป็นใจหลายอย่างเลยแหะ อาจเพราะเป็นเช้าของวันอาทิตย์ด้วย ขับกันแบบสายชิลล์ ไม่รีบไม่ร้อน นั่งสบายสไตล์ Touring เป็นสก๊อยนั่งซ้อนว่างๆก็ถ่ายวิวข้างทางไปเรื่อยๆ แดดไม่แรง มีลมตลอดทาง ผ่อนคลายยยยย
มาแวะพักอีกทีก็ปั้มแถวลพบุรีเลยคะ มาถึงปั้มก็ประมาณ 8 โมงเช้า พักคนพักรถ พักกินข้าวและค่อยเดินทางต่อ อ่อ...ทริปนี้เราไม่เหงา เพราะเราหาสมาชิกร่วมชะตากรรมไปกับเราอีก 1 คู่ เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยขี่ FORZA
กองทัพต้องเดินด้วยท้องคะ จัดมาเหนียวหมูคนละกล่อง
กินเสร็จก็เพิ่งจะคิดได้ว่า แดรกข้าวเหนียวเข้าไปเมริงง่วงแน่น๊อนนนนน แล้วมันก้จริง มีแอบหลับแต่ดั๊น.....หมวกกันน็อคไปโขกกับแฟน แฟนจับได้อีกว่าหลับ แหะๆๆๆ >"< เก๊าขอโต๊ด ฉันทำผิดไปแล้วจริงๆ ฉันง่วงมากไป 555555 ถ่างตาเข้าไปคะ ง่วงแค่ไหนก็ห้ามหลับคะ ตื่นนนๆๆๆๆๆๆ เด่วจะมีเรื่องเอา
ก่อนจะขึ้นภูทับเบิก เราแวะปั้มเติมน้ำมันกันรอบสุดท้ายของวัน ณ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้วคะ ตกลงกันให้ดีว่าเราจะไปไหนกันก่อน แพลนเราคือจะขึ้นไปเที่ยวในอุทยานภูหินร่องกล้าก่อน ค่อยไล่ลงมาทับเบิกอีกทีเย็นๆ บิดต่อกันไปยาวๆด้วยความที่ไม่เคยมาภูทับเบิก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเราต้องพึ่ง Google map คะ
ช่วยบอกทางแฟนเป็นระยะๆ ขาเข้ามาทางจะขึ้นภูทับเบิก เป็นช่วงที่เขากำลังปรับปรุงถนนอยู่ ถนนไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
ดูตามป้ายบอกทางประกอบกับแวะถามทางคนท้องที่และพึ่ง Map ไปด้วย จนขึ้นมาภูทับเบิกได้ล๊าวว....
เราเจอแล้วหมอกฟุ้งๆ ลอยอยู่ตรงหน้าเรา แต่พอขี่เข้ามาได้สักพัก ฝนก็เริ่มปรอยแบบเบาๆ
ทางขึ้นมีทั้งชัน และคดเคี้ยวบ้าง ต้องระมัดระวังแล้วมีสติในการใช้ถนนให้มากที่สุด เพราะถนนมันลื่น อ่อ....ใช้เกียร์ต่ำสุดในการขี่ขึ้นด้วยน๊าาา เพื่อความปลอดภัย เราเจอจุดที่วิวสวยๆ ก็แวะจอดเลยคะ
มีจุดที่ต้องสลับกันถ่าย ส่วนพวกผู้ชายต้องค่อมรถไว้ เนื่องจากเป็นทางชันขึ้น รถอาจจะไหลลงตามเขาได้คะ ผู้หญิงอย่างเราเลยต้องสตรองกระโดดลงมาถ่ายให้เขาแล้วก็ผลัดถ่ายให้กันเอง
ขับวนขึ้นมาจนเข้า อุทยานภูหินร่องกล้า จ่ายค่าเข้าไปไม่ถึง 5 นาที ฝนลมมาเต็มเลยจ้าาา...ไหนบอกอากาศดี๊ดีย์ไง แล้วนี่ คือระ ?? 55555555 เปียกปอนไปทั้งจายยยยยยยยย ..... ขับเข้าไปไกลมากไม่เจอที่หลบฝนสักทีไม่รู้ว่ากี่กิโล แต่ไกลพอที่เราได้พบที่หลบฝน เหมือนสวรรค์ยังไงยังงั้นเลย มีคนยืนหลบฝนอยู่เพียบ คาดว่าน่าจะเพิ่งเที่ยวข้างในเสร็จแล้วขาออกเจอฝน จอดรถเสร็จกระโดดลงจากรถให้ไวเลยค่าเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย สภาพดูไม่ได้จริงๆ ตกหนักและแรงขึ้นเรื่อยๆ
คาดเดาไม่ได้เลยว่าเมื่อไหร่จะหายตก ฝนตกแบบนี้ หิวขึ้นมาทันทีเลยคะ โชคดีพี่เขาซื้อไก่ทอดห้าดาวที่ปั้มก่อนขึ้นมา แย่งเขากินไปคนละชิ้นกับแฟนประทังความโหยไปพลางๆ
และแล้วววววววว...ฟ้าก็หยุดกลั่นแกล้งกัน แต่เราเจ็บแล้วต้องจำคะ ใส่เสื้อกันฝนกันข้าศึกบุกมาอีกรอบ ฮ่าๆๆ ขี่วนเข้าไปในอุทยานกันต่อ ไปแวะตรง โรงเรียนการเมืองการทหาร แหล่งใบเมเปิ้ลสีแดงสีเหลืองทั้งหลายแหล่
เดินเข้าไปไม่เหมือนโรงเรียนเลยเหมือนบ้าน HOBBIT มากกว่า สภาพเป็นบ้านไม้หลังเล็กหลายๆหลัง ทรุดโทรม และพุพังไปตามกาลเวลา มีมอสขึ้นปกคลุมตามพื้น หลังคาบ้าน และโขดหิน
เดินถ่ายรูปกันได้สักพักขาเดินออกมาตอนนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็นแล้ว ไปเสียเวลาตรงติดฝนนี่แหละ ฝืนไปต่อก็เที่ยวได้ไม่มาก เซงเลยตกลงว่าจะไปเช็คอินเข้าที่พักที่ภูทับเบิกเลยดีกว่า เราฝาก บอยฟาง คู่รักตะลอนทัวร์ทั่วไทย เพจเหลี่ยมพาเที่ยว จองที่พักไว้ให้เราเรียบร้อย ขับลงไปหากันโล๊ดดดดดด !!!!!
ขี่ออกมาจากอุทยานภูหินร่องกล้า วนหาที่พักที่ภูทับเบิกคะ เจอวิวสวยๆเป็นไม่ด๊ายยยยยย
โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ ติดต่อกันลำบากมาก สายสุดท้ายที่โทรหากันติด คือบอยบอกว่าที่พักอยู่แถวจุดวัดอุณหภูมิสูงสุด ด้วยความที่มาเป็นครั้งแรก เลยทำให้ขี่หลงกันไปไกลถึงหมู่บ้านชาวดอย
ขับเข้ามาเขามองด้วยความแปลกใจ (นี่เมิงหลงกันอยู่รู้บ้างหม้ายยยยยยยยยยย) วัวยังหันมาสมน้ำหน้าเลย ดูหน้า 555555555555
เจอใครผ่านมา ก็โบกมือดักกวักมือเรียกถาม เขาบอกให้ย้อนกลับไปทางที่เราขี่กันมา โอ้โห้วววววววว... ขี่วนกลับไปคะ
จนเราเจอจุดวัดอุณหภูมิและที่พักของเราก็อยู่ใกล้ๆกันเลย คืนนี้ฝากชีวิตไว้ที่ "ริมผาภูทับเบิก"
กว่าจะถึงก็เกือบๆ 5 โมงครึ่งแล้ว บอยจองไว้สามหลัง หลังนึงนอนได้แค่สองคน มีนอกชานไว้นั่งรับลมด้วย
ภายในห้องเล็กและแคบมากจริงๆ เอาไว้นอนได้อย่างเดียว เปิดประตูเข้าไปปุ๊ปเจอเตียงเลยคะ ภายในห้องเป็นห้องพัดลมติดฝาผนัง มีเตียงนอน ทีวี และห้องน้ำคะ มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบชาวบ้านๆด้วยนะ ใช้แก้สหุงต้มต่อขึ้นมากับเครื่องทำน้ำอุ่น เวลาเราเปิดใช้ ต้องเปิดสวิตซ์ใต้เครื่องก่อน มันจะขึ้นตัวเลขอุณหภูมิของน้ำเป็นอันใช้ได้
ก่อนจะแยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เรามาแชะรูปหมู่กันสักหน่อย รวมตอนนี้มีสมาชิกทั้งหมด 6 คน
จุดที่เรายืนถ่ายกันคือวิวตรงที่พักเราเลยคะ
แต่เห็นแค่ด้านข้าง เพราะห้องเราไม่ชิดริม อยากเห็นต้องเดินมาดูจ้าาา
จากนั้นฝนก็เริ่มลงมาอีกระลอก วิ่งเข้าห้องให้ไวเลยจ้ะ ออกมาอีกทีตอนทุ่มนึงฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไม่มีฝนแล้วมีแต่ลมล้วนๆ ทั้งแรงและหนาวมากเช่นกัน เดินขาสั่น หน้าชา กอดอกกันไปเดินหาร้านข้าวกินกัน หลักๆเลยคือตามหาร้านหมูกระทะ และต้องเป็นร้านที่คุ้มที่สุดด้วย 555555 แต่เราก็หา...กันจนเจอ มาเจอร้านที่คุ้มสุดๆแล้ว เป็นร้านของที่พักๆหนึ่ง จำชื่อที่พักไม่ได้ เดินเข้ามาพอสมควร ไม่มีคนอื่นเลยมีแต่กลุ่มเรา บรรยากาศเหมือนนั่งกินอยู่ที่บ้าน
ในหมูกะทะชุดใหญ่ 1 ชุด 500 บาท ประกอบไปด้วย ชุดผักเพื่อสุขภาพ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักบุ้ง ตามด้วยเนื้อหมูหมัก 1 กิโล วุ้นเส้น เต้าหู้ไข่ เห็ดเข็มทอง หมูยอ น้ำดื่ม 1 ขวด และน้ำจิ้ม 1 ขวด เด็ดตรงน้ำจิ้มนี่แหละเอาจริงๆ เผ็ดสุดและอร่อยสุดเช่นกัน ตราพริกรวย อ่านดีดีนะ 55555 เพิ่งมาหาข้อมูลทีหลังว่าเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ของที่นี่เลย
ลมก้พัดแรงมาเป็นระยะๆ ทำให้ไฟแรงเฟร่อออออ ไม่มีมอดเลยค่าาา....
ยืนปิ้งย่างกันไปเพลินๆ เผลอแปปๆหมดเกลี้ยง อิ่มคุ้มกันจริงๆ มื้อนี้
เดินกลับเข้าที่พักกันถึงโดยประมาณ 4 ทุ่ม อาบน้ำแปรงฟันจัดของ ได้เวลานอนแล้ว พักผ่อนให้เต็มที่
นัดกันตื่นไปดูทะเลหมอกตีห้าครึ่ง ตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกเป๊ะๆเลยตีห้า แต่กว่าจะเสร็จรวมๆแล้วเดินออกไปดูเกือบๆจะหกโมงละ
เราไปยืนดูทะเลหมอก บริเวณไร่ริมผา จุดที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
เริ่มเห็นทะเลหมอกบ้างแล้วเวลานี้ ฟ้าใกล้สร่าง งานดีมากเลยขอบอก
ต้องขึ้นมาสักครั้งนะ หน้าฝนนี่มีโอกาสจะเห็นทะเลหมอก ขนาดนี้ ยืนถ่ายรูปกันรัวๆเลยค่าาา
เก็บทุกมุม เก็บเข้าไปให้เมมเต็ม นานๆทีจะได้เห็นอะไรดีดีแบบนี้
เก็บไปเรื่อยๆกับคำว่า "ความทรงจำ"
จุดนี้เราอยู่ถ่ายเป็นชั่วโมงกว่า เห็นจะได้ เดินข้ามไปอีกฝั่งจะเจอ ไร่กะหล่ำปลีที่มีโอ่งเรียงกันในตำนาน 555555 แต่เสียดายเขาตัดเอากะหล่ำไปขายแล้วนี่สิ ภาพเลยออกมาเป็นเช่นนี้ !!!!!
ยังพอมีเหลือส่วนที่ไม่โดนตัดไปอยู่บ้าง สดมาก น่าจะกรอบอร่อย
ถึงเวลาหาข้าวกินแล้วคะ ณ ตอนนี้เวลาล่วงเลยมา 7 โมงครึ่งแล้ว เดินหาร้านข้าวกัน ร้านนี้อยู่เลยที่พักเราไปหน่อยนึง เป็นร้านข้าวตามสั่งที่ดูธรรมดาแต่รสชาติและปริมาณไม่ธรรมดานะ เราเลือกวิวที่ดีที่สุดของร้าน ป่าวหรอก !!!! ไม่มีคนพอดี เลยได้มุมนี้ เห็นวิวสวยๆฟินๆกันไป
อาหารตามสั่งตามเมนูที่เขามีเลย นั่งรอแบบหิวโหยสักพัก เพราะที่ร้านเขาทำให้เสร็จทีเดียวต่อโต๊ะ ได้ทุกคน ทุกจาน กินพร้อมกัน 55555 ถือว่าดีนะ ไม่มีใครกินยั่วใคร
มาแว้ว....จานแรก กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา มาถึงถิ่นต้องสั่งนะ ของขึ้นชื่อเลย สดๆกรอบๆ รสชาติอร่อย
แล้วอาหารจานอื่นๆก็ตามมา ปริมาณอาหารให้เยอะ และรสชาติดีทุกจานจริงๆแอบขอชิมมา ลงมื้อจัดการกันอยู่สักพักใหญ่ๆ
**ราคาอาหาร ถ้าเป็นกับข้าวจานเดียวคิด 80 บาท ราดข้าว 50 เพิ่มไข่ 10 บาท**
จ่ายตังค์อะไรเสร็จเรียบร้อย ก็เดินกลับเข้าที่พัก เก็บของ จัดเสื้อผ้ายัดใส่กล่อง เราต้องไปตามวิถีมอเตอร์ไซค์ของเราต่อ 5555
ก่อนแยกย้ายกันไป เรามาถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกันหน่อยดีกว่าาาา
ออกจากที่พักก็ 10 โมงกว่าแล้ว ขับลงตามทางมาเรื่อยๆ ไม่มีแดดเลยสักนิด
หมอกก็ลงหนักมาก ขี่รถฝ่าหมอกขาลงจากภูทับเบิกต้องขี่ช้าๆ เปิดไฟและคอยบีบแตรเป็นระยะๆ เสียวอยู่เหมือนกัน ทางข้างหน้ามันมองไม่เห็นอะไรเลย เราก็ลุ้นอยู่
ลงมาจากภูทับเบิกได้ เราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่ ไร่สตรอเบอรี่ GB อยู่เขาค้อ หมู่บ้านเพชรดำ ใช้เวลาเดินทางอยู่พอสมควร ฝนตกๆหยุดๆตลอดทาง ทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลงจริงๆ เส้นทางไปเขาค้อ....มีบางจุดที่วิวสวยๆเราก็แวะจอดลงมาถ่ายให้หนุ่มๆซะหน่อย
ขี่เข้าเขาค้อมา แหงนหน้ามองเห็น กังหันลมขนาดใหญ่แบบระยะไกล นั่นแหละแลนด์มาร์คของไร่สตรอเบอรี่ GB ขับขึ้นมาจวนจะถึงแล้วเชียว เมฆฝนขนาดใหญ่ปกคลุมจุดกังหันลม มาแน่ๆ หนักแน่ๆ เละแน่ๆ ถ้าฝืนขับไปถึงจุดนั้น แล้วไม่มีที่หลบฝนด้วย เลยได้ชักภาพคู่กับกังหันลมแบบไกลๆแทน เสียจายยย T^T
ขับหนีฝนกันลงมาได้ เราก็มุ่งหน้าไป วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว กันต่อ
ใครที่มาเพชรบูรณ์ก็คงต้องแวะไปชื่นชมความงามของศาสนสถานที่สร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติ มีหุบเขาล้อมรอบ โดยรอบมีเจดีย์ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลากสี บรรยากาศเงียบสงบ เพราะที่นี่สร้างเป็นสถานปฏิบัติธรรมด้วย ก้าวเข้ามาที่นี่จะงดใช้เสียงและมีป้ายบอกเตือนตลอด
อยู่ชื่นชมความงามกันสักพัก ก็ขี่ขึ้นไปนั่งพัก กับร้านกาแฟที่ใครก็รู้จัก PINO LATTE อยู่ห่างจากวัดผาซ่อนแก้ว ขึ้นมานิดเดียว วิวสวยมากจริงๆโอบล้อมด้วยภูเขา อากาศเย็นสบาย
มุมถ่ายรูปเยอะมาก ร้านใหญ่และกว้างขวาง ตอนที่ไปอยู่ในช่วงปรับปรุงบางส่วนของร้าน และต่อเติม
ไม่รู้ทั้งร้านมีทั้งหมดกี่โต๊ะ แต่โต๊ะที่เรานั่งเบอร์ 88 โชคร้ายจริงๆ เราดันไปตอนที่ร้านเขาไฟดับพอดี เลยสั่งได้แค่เมนูที่ไม่ใช่น้ำปั่น ทานคู่กับขนมเค้กเบาๆสองเมนูที่พิเศ๊ษพิเศษ ก็ตรงที่เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ที่ไปด้วยกัน เลยนัดกับแฟนพี่เขาร่วมมือกันวางแผนเซอไพร์สเบาๆ ลุกเดินไปสั่งเองที่เคาท์เตอร์เลย ปล่อยให้หนุ่มๆนั่งไม่รู้เรื่องราวกันต่อไป 5555555
สั่งเสร็จก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะ แบบเนียนๆ รอสักพักพนักงานยกมาเสริฟ์แย้วจ้าาาาา....
สั่งเสร็จก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะ แบบเนียนๆ รอสักพักพนักงานยกมาเสริฟ์แย้วจ้าาาาา....
ลงมือจัดการของหวานที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อย
พร้อมนั่งชิลล์ ผ่อนคลาย ฟินกับบรรยากาศอยู่สักพัก
ถึงเวลาที่ต้องหยุดพักแล้วเดินทางต่อ สถานีต่อไป Go Home !!!!!!
กว่าจะออกจาก PINO LATTE ก็เกือบๆจะ 5 โมงเย็นเห็นจะได้ แดดเริ่มออกเป็นสัญญาณที่ดีในการเดินทางกลับ เพราะเราอาจจะไม่ได้เจอฝนระหว่างทางกลับบ้านแล้วนะสิ
ใช่ค่าาา...เราโชคดีมากที่ไม่เจอฝนขากลับเข้ากรุงเทพฯ อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าโล่งสบาย วิ่งกลับกันยาวๆ มีแวะพัก เติมน้ำมัน ล้างหน้า ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ให้หายเหนื่อย หายเมื่อยแล้วก็ลุยกันต่อ
ขับมาถึงวังน้อยเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ หาไรรองท้องกินกันก่อนกลับ ณ เวลานี้ไม่ค่อยมีร้านข้างทางแล้ว ต้องปั้มอย่างเดียว โชคดีมี KFC เลยนั่งกิน ประทังความหิวกันไปคนละชุด อิ่มจุกกันไปก่อนแยกย้ายเส้นทาง กลับบ้านกัน
ซัดถึงบ้านมายาวๆไม่แวะอะไรแล้ว ระยะทางสองวันรวมพันโลนิดๆ
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าน้ำมัน ตลอด 2 วันเติมไป 4 ครั้งต่อคน 545 บาท
ค่าข้าวเหนียวหมูกล่องละ 25 บาท
ค่าเข้าอุทยานภูหินร่องกล้า คนละ 50 บาท
ค่าที่พักบ้านริมผาทับเบิก หลังละ 730/2 ตกคนละ 365 บาท
ค่าหมูกะทะชุดใหญ่ + เบียร์ 3 ขวด 840/6 ตกคนละ 140 บาท
ค่าข้าวอาหารตามสั่งตอนเช้า 100 บาท
ค่าขนมและกาแฟที่ Pino Latte 440/4 ตกคนละ 110 บาท
ค่าไก่ KFC ชุดละ 120 บาท
รวมเป็นเงิน 1,455 บาท
จบทริปแบบแฮปปี้ ทริปนี้เจอครบ ทั้งหมอกฝน ลมหนาว ไอแดด แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกลับเป็นพันโล จากที่เคยนั่งรถยนต์สบายๆ ต้องมานั่งหลังคดหลังแข็ง อยู่บนเบาะสองล้อ ง่วงแค่ไหนก็ต้องฝืน กลับแลกมาซึ่งบรรยากาศที่คนนั่งรถยนต์ก็คงไม่ได้สัมผัส แม้สภาพอากาศอาจจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่รวมๆแล้วเราเจอฝนน้อยกว่าที่เราเจออากาศดีดีซะอีก อาจจะดูอันตรายที่ต้องฝากชีวิตไว้บนสองล้อ แต่ถ้าเราระมัดระวังและมีสติอยู่ตลอด เรื่องอุบัติเหตุมันก็จะไม่เกิดขึ้น ไม่ไหวก็แค่พักเหนื่อย แรงมีก็ไปต่อ คิดซะว่าได้ออกมาเปิดโลกใหม่ๆ วิถีใหม่ๆในการเดินทาง มิตรภาพใหม่ๆไปกับ เพื่อนร่วมเดินทาง "นี่แหละ ความสุขบนสองล้อ"
"ทุกครั้งที่ได้ออกเที่ยว มักจะมีอะไรดีดีรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ ออกไปเถอะคะ ไปเปิดประสบการณ์ ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง"
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)