สวัสดีค่ะ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเยือนดินแดนในฝัน ที่ฝันมานานแสนนาน ตั้งตารอคอยมาประมาณ 1 ปี เลยทีเดียวค่ะ ภูฏาน เราได้ยินชื่อประเทศนี้ครั้งแรกสมัย ป.5 ในหนังสือวิชาสังคมเกี่ยวกับเรื่อง GNH และตอนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นครั้งแรกที่กษัตริย์ Jigme เสด็จมายังประเทศไทยเพื่อฉลองครบรอบครองราชย์สมบัติครบ 60 ปีของในหลวงของเราค่ะ หลังจากที่เวลาผ่านมาเกือบ 8 ปี แต่อยู่ดีๆเราก็รู้สึกอยากไปประเทศนี้ขึ้นมาค่ะ โดยที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย5555 ขณะนั้นเองเรียนอยู่ปี 1 ทางมหาวิทยาลัยได้มีนักศึกษาชาวภูฏานมาเรียนที่นี่ด้วย เราก็เลยไปทำความรู้จักแล้วก็ได้เป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวันนี้ค่ะ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศหลักๆเลยค่ะ ที่ชาวภูฏานมักเดินทางมาศึกษาเล่าเรียน ทำธุรกิจ ช้อปปิ้งและใช้บริการทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศไทยก็ได้มีการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาภูฏานค่ะ เรากว้านซื้อหนังสือเกี่ยวกับประเทศภูฏานเกือบทั่วไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ มีที่ไหนสั่งมาให้หมด5555 ไล่ดูรายการท่องเที่ยวทุกรายการที่ไปถ่ายทำที่ภูฏาน เพจสายการบินและเพจท่องเที่ยวภูฏานเราไปกดติดตามหมดเลยค่ะ555 เหมือนตัวเองได้กลายเป็นแฟนพันธ์ุแท้เลยทีเดียวค่ะ
ในที่สุดวันที่ตั้งตารอคอยก็มาถึง ฝันเป็นจริงแล้วค่ะ หลังจากที่ศึกษาข้อมูลมานับปี ก็ได้เดินทางไปภูฏานโดยสายการบิน Bhutan airlines หรือ Tashi air ไฟล์ท B3 701 ไปรอเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน ตี 3 กว่าๆค่ะ ถ้าจำไม่ผิด เพราะไฟล์ท 6.30 ไปถึงคนค่อนข้างเยอะนิดนึงค่ะ เราก็รีบวิ่งไปดูที่บอร์ดเที่ยวบินขาออกค่ะ ยอมรับว่าตื่นเต้นมาก พอไปถึงเคาท์เตอร์เช็คอิน Row K มีทั้งชาวไทยและชาวภูฏานกำลังรอเช็คอินเลยค่ะ แถวค่อนข้างยาวเพราะมีผู้โดยสารชาวอินเดียด้วย แต่ เราซื้อตั๋วแบบ Premium economy เลยไม่ต้องรอคิวนาน5555 คนแทบไม่มีเลยค่ะ หลังจากที่เราเช็คอินและผ่าน ตม. มาแล้ว เราก็ไปรอขึ้นเครื่องค่ะ โดยจะมีบัสของการบินไทยมารับเราไปขึ้นเครื่องอีกทีนึงค่ะ
หลังจากที่ขึ้นเครื่องมาแล้ว เราก็เจอทั้งชาวไทยที่มากับทัวร์ไทย ชาวภูฏาน ชาวจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งและอินเดียค่ะ จขกท นั่งที่นั่ง 3C แถวหน้าสุดของ Premium economy ถัดจาก Business class ค่ะ ที่นั่งค่อนข้างกว้างพอสมควร เหยียดขาได้สบายเลยค่ะ โอเคมากเลยทีเดียว555 ข้างซ้ายมีป้าฝรั่งนั่งอยู่ ส่วนฝั่งขวาเป็นคนไทยค่ะ มากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ค่ะ บนเครื่องมีหนังสือพิมพ์ Nation และ Keunsel และนิตยสารของสายการบิน Kuzuzangpola ให้อ่านด้วยค่ะ แอร์บนเครื่องเป็นชาวภูฏานทั้งหมดค่ะ สวมชุดประจำชาติ Kira เป็นเอกลักษณ์เลยทีเดียวค่ะ ผู้โดยสารก็ทยอยขึ้นมาประจำที่นั่งของตัวเองเรื่อยๆค่ะ
แต่ว่า... มีผู้โดยสารคนนึงที่คุ้นหน้ามาก ! จนเราอึ้งไปเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอกันใกล้ขนาดนี้ ! Chencho Gyeltshen CG 7 นักฟุตบอลทีมชาติภูฏานที่เป็นฮีโรของคนที่นู้นเลยก็ว่าได้ค่ะ ฉายาของเขาคือ The Ronaldo of Bhutan จากที่เราได้แต่กดไลค์ตาม IG บ้างประปราย ล่าสุดเห็นเขาลงรูปที่เกาะพีพี คิดว่าน่าจะเที่ยวพักผ่อนหลังจากที่ซ้อมสนามกับสตูลยูไนเต็ดค่ะ เราก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเชนโชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเพื่อนภูฏานของจขกท เองค่ะ เพื่อนบอกว่าเขาชอบนำเงินไปบริจาคให้กับโรงเรียนบ่อยๆ ชื่นชอบการเตะฟุตบอลตั้งแต่สมัยเด็กๆค่ะ ก็ถือว่าเป็นกำไรเล็กน้อยๆในการเยือนภูฏานครั้งนี้ค่ะ55555 โลกกลมจริงๆค่ะ น่าจะเป็นเพราะว่าคนในประเทศไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ประกอบกับเมืองที่ไม่ใหญ่ด้วย คนในเมืองส่วนใหญ่จะรู้จักกันค่ะ เค้าญาติเยอะกันจริงๆค่ะ
หลังจากที่เครื่อง Take off ได้มาสักพัก แอร์ก็นำน้ำอาหารมาเสิร์ฟค่ะ อาหารสามารถเลือกได้ค่ะ Chicken หรือ Vegetarian ตามสะดวกเลยค่ะ เราเลือก เมนูผักค่ะ รสชาติถือว่าใช้ได้เลยค่ะ เครื่องจะจอดแวะที่ โกลกัลต้าที่ประเทศอินเดียเพื่อรับส่งผู้โดยสารค่ะ ถ้าโชคดีได้บินวันที่ฟ้าใส เราจะมีโอกาสได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยค่ะ กัปตันจะเป็นคนประกาศให้เราทราบค่ะ แต่เสียดายเราไม่ได้นั่งติดหน้าต่างเลยเห็นไม่ค่อยชัดค่ะ จะขอป้าฝรั่งดูก็เกรงใจ555 เพราะตอนขึ้นเครื่องมาดูอัธยาศัยไม่ดีเท่าไหร่ (แอบเมาท์นิดนึง) แต่ตอนหลังหลังจากที่ป้าคุยกับเรานิดหน่อย เราก็เพิ่งมารู้ว่าป้าแกมีสามีเป็นชาวภูฏานค่ะ มาภูฏานตั้งแต่สมัยยังไม่เปิดประเทศ ป้าแกทำงานที่ UN เลยเข้ามาศึกษาภูฏานในสมัยแรกๆค่ะ บ้านป้าอยู่ใกล้ๆโรงแรมที่เราจะไปพักในทิมพูนี่เองค่ะ พอใกล้ๆที่เครื่องจะ Landing เราจะเห็นเทือกเขาสีเขียวชอุ่มเลยทีเดียวค่ะ เห็นบ้านที่ปลูกตามยอดเขาสูงๆประปราย นาขั้นบันไดและแม่น้ำ เป็นวิวที่สวยงามมากเลยค่ะ สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ต้องลองมาดูด้วยตาตัวเองค่ะ สวยมากกกกก
ในที่สุดเราก็ถึงแล้วค่ะ Paro international airport สนามบินนานาชาติพาโรนั้นเอง เรามีบุญได้ไปใช้อาคาร Terminal หลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานนี้เองค่ะ อาคารภายในตกแต่งแบบสไตล์ภูฏาน ห้องน้ำสะอาด และมีจุดบริการให้แลกเงินค่ะ เราแลกเงินดอลลาร์จากสุวรรณภูมิแล้วนำมาแลกเป็นเงินนูตรัมค่ะ (สกุลเงินภูฏาน) หลังจากที่เราจัดการแลกเงินเสร็จสรรพ ได้กระเป๋าเรียบร้อย เราก็ไปหาไกด์กับคนขับรถที่รอเราอยู่ที่ประตูทางออกค่ะ เราทัวร์ภูฏานครั้งนี้กับ Local tour ชื่อว่า Bhutan Rila Expeditions เนื่องจากทั้งทัวร์มีแค่สองคนคือเรากับพี่ รถที่ได้ในการทัวร์ครั้งนี้ เป็น 4WD Hyundai ค่ะ ถ้ามาเป็นกรุ๊ปทัวร์ ส่วนใหญ่จะได้เป็นรสบัสเล็กค่ะ ไกด์ต้อนรับเราด้วยผ้าพันคอสีขาว คิดว่าเป็นธรรมเนียมของคนที่นี่มั้งค่ะ เคยเห็นในรายการกบนอกกะลาค่ะ ตามโปรแกรมทัวร์ของเราคือมุ่งหน้าไปเมืองหลวง กรุงทิมพูค่ะ ระหว่างทางอยู่ดีๆรถก็จอดกะทันหัน เราเองก็ งง จอดทำไม หลังจากที่รถเคลื่อนตัว ไกด์ก็หันมาบอกกับเราว่ารถที่ขับสวนไปเป็นรถของ King's mother ค่ะ เหมือนกับว่าถ้าขับเจอรถของราชวงศ์ จะต้องหยุดรถแล้วให้เขาไปก่อนค่ะ โดยสังเกตจากป้ายทะเบียนรถค่ะ เรามุ่งหน้าเข้าสู่ทิมพู เริ่มเห็นตึกเห็นบ้านมากขึ้นค่ะ ตึกไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ค่ะ ตกแต่งเป็นสไตล์ภูฏาน ระหว่างทางเห็นมีโชว์รูม Toyota Honda Tata คล้ายๆกับเมืองไทยค่ะ พอเริ่มเข้าเขตเมือง เราเริ่มเห็นร้านค้า สถานที่ราชการต่างๆมากขึ้นค่ะ
สถานที่แรกที่เราไปคือ National Memorial Chorten อากาศสดชื่นลมพัดเย็นสบาย ประมาณ 20 องศาได้ค่ะ พบกับชาวภูฏานทั้งวัยรุ่นและคนแก่มาเดินเวียนสถูป อากาศค่อนข้างเย็นนิดหน่อยแต่ก็สดชื่นมาก เหมือนได้โผล่มาอีกโลกนึงเลยค่ะ
จากนั้นเราก็ไปที่ Buddha point ค่ะ วิวหลักล้านสำหรับ Kuenselcholing View Point ให้คำนี้เลย ! อากาศดีที่สุด พระใหญ่ ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาสูงกลางเมือง ลมแรงอากาศเย็นมาก มองเห็นเมืองทิมพูได้สวยงามมากค่ะ
และสุดท้ายของวันนี้ Tashicho Dzong หรืออีกชื่อนึงคือ Thimphu Dzong ค่ะ เป็นซองที่สำคัญมากแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ค่ะ เป็นที่ทรงงานของกษัตริย์จิกมี่และเป็นที่ทำการของรัฐบาลค่ะ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมหลังประมาณ 5 โมงเย็นค่ะ ที่นี่มีระบบรักษาความปลอดภัย เราต้องผ่านระบบสแกนก่อนที่จะเข้าชมค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่และตำรวจคอยดูแลอยู่ทางเข้าค่ะ
หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่จะพักในคืนนี้ค่ะ Pedling hotel อยู่ใจกลางเมืองเลยค่ะ หลังจากที่เช็คอินและเก็บของเรียบร้อย ไกด์ก็พาเราไปซื้อซิมของที่นี่ค่ะ ภูฏานมีเครือข่ายมือถืออยู่ 2 ค่าย คือ B-Mobile และ Tashi cell ค่ะ จขกท ได้เลือกซื้อซิมของ Tashi cell เอกสารที่เราต้องใช้ก็มี passport คิดว่าน่าจะเป็นซิมสำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ ไกด์พาเราเดินชมรอบๆเมือง จุดที่เราชอบมากที่สุดคือหอนาฬิกาค่ะ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มักจะเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆค่ะ เราก็เดินรอบๆเมือง แวะชมร้านค้าของที่นี่ ส่วนใหญ่ของที่ขายจะนำเข้ามาจากอินเดีย จากประเทศไทยก็มีเหมือนกันค่ะ มาม่า ไวไว ซันซิล โก๋แก่ ประมาณนี้ค่ะ ร้านค้าที่นี่ค่อนข้างปิดเร็ว ประมาณ 2-3 ทุ่มก็ปิดกันหมดแล้วค่ะ จะเปิดอีกทีก็ประมาณ 8-9 โมงค่ะ ที่ภูฏานมีบริการ Taxi เหมือนกันค่ะ รถทุกคันจะมีชื่อเมืองแต่ละเมืองติดอยู่ข้างรถค่ะ รถที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นรถคันเล็กๆค่ะ พวก Suzuki แล้วก็รถ 4WD Toyota Prado หรือ Hyundai Honda ก็พอมีบ้างค่ะ รถบนนทุกส่วนใหญ่จะเป็นของ TATA ที่นี่มีร้านอาหารไทยอยู่เหมือนกันค่ะ เท่าที่เรารู้จักมี บ้านไทย ครัวสุโขทัย Lemonglass ค่ะ
Day 2 Sightseeing in Thimphu
วันนี้เราจะไปปีนเขาที่ Cheri Monastery ค่ะ ยิ่งสูงวิวยิ่งสวยค่ะ น้ำใสไหลเย็น ธงมนต์พลิ้วปลิวไสว ธงมนต์มีทั้งหมด 5 สี หมายถึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ชาวภูฏานเชื่อว่าลมที่พัดให้ธงมนต์ปลิวไสว เหมือนกับได้สวดมนต์ตลอดเวลาค่ะ หลังจากปีนเขา เราก็ไปที่ Post office ค่ะ ที่นี่มีแสตมป์และของที่ระลึกขาย จขกท เหมาโปสการ์ดกับแผนที่มาค่ะ ใครที่อยากจะกลับไทยก็ทำได้ค่ะ
เราเดินทางไปต่อกันที่ Mini zoo สวนสัตว์ทาคิน ย่าน Motithang สัตว์ประจำชาติภูฏานค่ะ หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังโรงงานกระดาษในทิมพูค่ะ
Day 3 Drive to Gangtey.
วันนี้เราจะมุ่งหน้าไปที่กังเต หุบเขาพร็อบจิกาค่ะ ก่อนจะออกเดินทาง ไกด์พาเราไปซื้อชุดประจำชาติของผู้หญิงที่เรียกว่า Kira ที่ร้านขายผ้าในตัวเมืองก่อนค่ะ สำหรับชุดประจำชาติของผู้ชายเรียกว่า Gho ค่ะ ในทุกๆวันเราจะเห็นชาวภูฏานใส่ชุดประจำชาติเดินอยู่ตามที่ต่างๆ เด็กที่นี่เวลาไปโรงเรียนก็ใส่ชุดประจำชาติ หรือแม้แต่สถานที่ราชการก็ตาม รัฐบาลของภูฏานนั้นได้รณรงค์ให้ชาวภูฏานใส่ชุดประจำชาติเป็นชุดประจำวันค่ะ
หลังจากที่ได้คีร่าสวยๆมากันคนละชุด เราขอให้ไกด์พาเราไปสนามกีฬาแห่งชาติ Changlimithang Stadium เพื่อไปชมการยิงธนู กีฬาประจำชาติของคนที่นี่กันค่ะ
พระพุทธรูปปางลีลาในสวนสาธารณะหลังสนามกีฬาค่ะ ป้ายข้างๆเขียนติดว่า เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางจากทิมพู มุ่งหน้าไปยังกังเตค่ะ ระหว่างทางที่เรามุ่งหน้าไปยังกังเตจะมีจุดพักรถคือ Dochula pass สถูป 108 องค์ ช่องเขาบนถนนทิมพู-พูนาคา เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถชมเทือกเขาหิมาลัยได้จากจุดนี้ค่ะ นอกจากนี้ยังมีวัดและร้านอาหารด้วยค่ะ
ในขณะที่เราเดินถ่ายรูปอยู่แถวๆนั้น เราเจอกับคนไทยที่นั่งข้างเราไฟล์ทขามาค่ะ โลกกลมอีกแล้ว พี่เขาใส่เสื้อตัวเดิมเราเลยจำได้ เลยแวะไปถ่ายรูปเป็นที่ระทึกสักหน่อย555 หลังจากแวะชมเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปยัง Punakha โดยแวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ Lobesa hotel ค่ะ อาหารที่นี่จะเป็นแบบบุฟเฟต์ให้เราเลือกตักได้ตามสบายเลยค่ะ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปยังเมือง Gangtey ค่ะต่อค่ะ เริ่มเข้าเขตป่าสน อากาศเริ่มเย็นลง เราเริ่มเห็นหมู่บ้าน เห็นเด็กๆกำลังเดินกลับโรงเรียน หุบเขา Phobjika เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยที่สุดในภูฏานเลยก็ว่าได้ค่ะ รถของเราวิ่งผ่านหมู่บ้านเล็กๆ เห็นทุ่งมันฝรั่งเป็นระยะ ในฤดูหนาวจะมีนกกระเรียนคอดำที่อพยพมาจากธิเบตมา ณ หุบเขาแห่งนี้ค่ะ คนที่นี่เชื่อว่านกกระเรียนเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ จะบิยวนรอบยอดเขาสามรอบ ทั้งก่อนมาและก่อนจากไป เขาจึงมีพิธีเต้นระบำนกกระเรียน ถือเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว เป็นประเพณีเหมือนชาวนาไทยสดชื่นแจ่มใสหลังการเกี่ยวข้าวค่ะ
ถ่ายจากในรถ ภาพเลยออกมาไม่ค่อยสวยค่ะ ต้องขออภัยนะคะ
โฉมหน้าโรงแรมกลางหุบเขาของเราวันนี้ค่ะ Dewachen hotel ในห้องของเรามีเตาผิงเหล็กด้วยค่ะ ตอนแรกเราคิว่าคงไม่ได้ใช้ แต่พอตกเย็นเราคิดว่าไม่จุดไม่ได้แล้ว5555 อากาศค่อนข้างเย็นค่ะ
มื้อนี้เราได้เมนูเป็นอาหารภูฏานค่ะ โดยส่วนใหญ่มักจะมีผัดผักเป็นหลัก ก็ยังมีผัดเห็ด แล้วก็มันฝรั่งผัดชีส เรียกว่า Kewa datshi ค่ะ เป็นเมนูที่เราชอบมากรองจาก Ema datshi เลยค่ะ
Day Four Sightseeing in Gangtey.
เช้าวันที่ 4 โปรแกรมวันนี้คือ Gangtey Nature Trial ไกด์พาเราไปที่ Gangtey Goenpa วัดบนเนินเขาซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วันหนึ่งของภูฏานเลยก็ว่าได้ค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เดินตามไกด์ไปเพื่อบุกป่าฝ่าดงไปที่จุดชมวิวค่ะ โดยเราเดินลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน
วิวสวยมากค่ะ เป็นวิวที่เราชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ ระหว่างที่เราเดินป่า เจอสตอเบอรรี่ลูกเล็กน่ารักมากค่ะ รถที่เห็นอยู่ไกลลิบๆเป็นรถของทัวร์เราเองค่ะ สุดท้ายตามด้วยกลุ่มธงมนต์กลางหุบเขาค่ะ หลังจากที่รับประทานอาหารเที่ยงที่โรงแรม เราก็ไปกันต่อที่ Black neck crane centre ศูนย์นกกระเรียนคอดำ เราได้ชมสารคดีสั้นประมาณ 15 นาที แล้วก็เดินสำรวจแหล่งเรียนรู้ภายในศูนย์ค่ะ มีทั้งกล้องส่องทางไกล ประวัติ และข้อมูลพื้นฐาน ตัวสตั๊ฟของนกกระเรียนคอดำตัวจริงไว้ค่ะ เราสามารถบริจาคเงินได้โดยการซื้อของที่ระลึกหรือหนังสือก็มีค่ะ จะหยอดตู้ก็ได้ ตามสะดวกค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่าเลี้ยงนกกระเรียนคอดำตัวนึงไว้ที่ศูนย์ค่ะ เราก็เลยออกมาดูของจริงกัน
Day Five Drive to Bumthang.
เราออกเดินทางจาก Gangtey ไปยัง Bumthang ค่ะ ซึ่งอยู่ในภูฏานตอนกลางค่ะ เป็นเมืองที่มีวัดสำคัญอยู่มากกว่าที่อื่นในภูฏาน โดยเราจะเดินทางไปกันที่ Kurjey Lhakhang และ Jambay Lhakhang ค่ะ ระหว่างทางไกด์พาเราแวะชมสถูปสไตล์เนปาล Chendebji Chorten เหมือนว่าที่นี่จะมีงานของหมู่บ้านด้วย เราเลยลงไปดูกันหน่อยค่ะ
มีชาวบ้านมาร่วมงานกันไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ พอเราไปถึงไกด์ของเราก็ดันไปเจอไกด์ที่รู้จักกันอีก เขาเลยนำน้ำนำขนมมาให้พวกเราทานกันค่ะ ด้านซ้ายคือชาเนยของที่นี่เรียกว่า Suja ค่ะ ส่วนด้านขวาเป็นขนมที่ทำมาจากข้าว อร่อยดี เราชอบมากเลยค่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปแวะทานอาหารเที่ยงกันที่ Tashi Ninjay Guest House ที่ Trongsa ค่ะ ซึ่งร้านอยู่ใกล้ๆกับ Trongsa Dzong ค่ะ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว เราก็เดินทางกันต่อ ก่อนที่จะเข้าสู่เมือง Bumthang ไกด์พาเราจอดแวะชมผลิตภัณฑ์จากขนจามรีค่ะ ผลิตภัณฑ์ดูน่าซื้อมากเลยค่ะ เสื้อแจ็คเก็ตที่ห้อยอยู่หน้าร้าน คงอุ่นน่าดู5555
ก่อนที่จะเข้าสู่เมือง Bumthang เราได้ผ่านช่องเขา Kiki La ที่มีเจดีย์กับธงมนต์ประดับอยู่เยอะเลยค่ะ ก่อนที่ถนนจะลดระดับความสูงสู่หุบบุมตัง ที่นี่ชีวิตผู้คนยังคงเกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่เยอะมาก ถือว่าเป็นต้นกำเนิดศาสนาที่สำคัญของภูฏานเลยค่ะ ในส่วนของวิวทิวทัศน์นั้นก็สวยไม่แพ้หุบเขา Gangtey กับ Phobjika เลยค่ะ คืนนี้เราพักที่ River Lodge ค่ะ รอบๆที่พักมีต้นกุหลาบหลากหลายสีเต็มไปหมด ดูๆไปก็สวยอีกแบบนึง
หลังจากที่เราเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ไกด์ก็มาชวนเราไปที่ Kharchu monastery เหมือนว่าที่วัดจะมีพิธีสำคัญของกูรูรินโปเช เราเองก็ได้ไปร่วมงานกับเขาด้วยเหมือนกัน โดยไกด์แวะซื้อผ้าขาวจากในเมืองให้เรากับพี่คนละผืน พร้อมกับซองกระดาษเอาไว้ทำบุญค่ะ ตอนที่เรานั่งรถกำลังเข้าเมือง ระหว่างทางเราเห็นธงสีแดงตั้งอยู่ที่วัดบนเขาค่ะ คิดว่าเขาอาจจะมีงานสำคัญมากๆก็เป็นได้ค่ะ
หน้าตาอาหารเช้าของโรมแรมค่ะ ที่บุมตังนั้นจะขึ้นชื่อเรื่องชีสค่ะ ส่วนแผ่นสีน้ำตาลที่อยู่ในจานคือแพนเค้กที่ทำเองค่ะ โหลน้ำผึ้งและแยมสตรอเบอรรี่ก็เช่นกัน ที่นี่อาหารทุกอย่างเป็นอาหารออแกนิค หลังจากที่ทานอาหรเช้าแล้ว เราก็มุ่งหน้าไป Kurjey Lhakhang วัดที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งของภูฏานค่ะ จากที่เคยอ่านหนังสือภูฏานตระการตาของ ดร.ธรณ์ เห็นบอกว่าที่วัดนี้มีพระแก้วมรกตจากประเทศไทยอยู่ด้วยค่ะ หลังจากที่เราเข้าไปชม เราก็เจอจริงๆค่ะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนถวายมา รู้สึกคิดถึงพระที่ประเทศไทยขึ้นมาเลยค่ะ5555
หลังจากที่ชมวัดเป็นที่เรียบร้อย คนขับรถเราก็ชวนเราไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ค่ะ พอเราไปถึงก็มีลามะและชาวบ้านอยู่กลุ่มหนึ่งกำลังต่อแถวรองน้ำเพื่อไปใช้ค่ะ น้ำเป็นน้ำแร่ธรรมชาติจากภูเขา สามารถดื่มได้ค่ะ ตอนแรกเราเองก็ไม่กล้า แต่พอลองแล้วน้ำไม่มีสี กลิ่น รส เลยค่ะ เย็นมาก เหมือนแช่มาจากตู้เย็น5555
จากที่ได้น้ำไปกันคนละขวดสองขวด เราเดินทางไปต่อกันที่ Jambay Lhakhang เราได้มีโอกาสไปจุดเทียนเนยกันที่วัดนี้ค่ะ ภายในวัดจัดงานอะไรสักอย่าง มีชาวบ้านมาสวดมนต์กันเต็มเลยค่ะ มีเด็กๆวิ่งเล่นกันด้วย น่ารักเชียว
สถานที่สุดท้ายของวันนี้คือ Mebar Tsho ทะเลสาบแอ่งน้ำในชองหินกลางลําธารค่ะ เรานั่งรถไปตามเส้นทางผ่านป่าสน แล้วต้องเดินขึ้นไปอีกนิดหน่อยเพื่อไปถึงค่ะ
Day seven Drive to Punakha
วันนี้เรานั่งรถออกจาก Bumthang เพื่อเดินทางกลับไปยัง Punakha ค่ะ เนื่องจากช่วงที่เราไปกำลังถนน ทำให้ใช้เวลาค่อนข้างนานค่ะ เราได้แวะพักค้างคืนที่ Kichu resort Wangdue รีสอร์ทที่นี่ร่มรื่นดีค่ะ มีแม่น้ำไหนผ่าน พนักงานบริการดี เฟรนลี่มากค่ะ ประทับใจค่ะ เราเองก็ได้เจอกับนางคนหนึ่งเป็นพนักงานที่นี่ อายุย่างเข้า 20 บ้านเกิดน้องอยู่ที่ Trashiyangtse ถ้าจำไม่ผิดเหมือนน้องจะเป็นพี่ชายคนโตค่ะ เรียนจบแล้วมาหางานทำในเมือง ตอนแรกน้องทำอยู่ที่ Kichu resort Paro แต่ได้ย้ายมาทำที่วังดีค่ะ เห็นน้องน่ารักขยันทำงานแบบนี้ เราก็ทิปน้องไปนิดหน่อยค่ะ ตั้งแต่อยู่ภูฏานมาเราสังเกตได้ว่าพนักงานโรงแรม ร้านอาหาร จะมีเด็กอายุประมาณนี้ทำงานค่ะ บางคนก็ไม่ได้เรียนต่อ ต้องมาหางานทำ ส่วนเด็กบางคนที่เป็นลูกคนมีเงิน บ้างก็จะมาเรียนต่างประเทศอย่างอินเดียหรือประเทศไทยค่ะ
Day Eight Drive to Paro
เราเดินทางออกจากที่พักมาถึง Bojo town ใน Wangdue ค่ะ เป็นเมืองเล็กๆที่กำลังจะเจริญเลยทีเดียว คนขับรถของเราแวะที่นี่เพื่อซื้อ ราชู ผ้าพาดบ่าเพื่อใส่เข้า Punakha dzong ค่ะ Punakha Dzong ถือว่าเป็นซองที่สวยที่สุดในภูฏานเลยค่ะ เป็นซองแห่งที่สองที่สร้างขึ้นในภูฏาน ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโพและแม่น้ำโม และยังเป็นสถานที่สำคัญที่กษัตริย์จิกมี่และพระราชินี Jetsun Pema อภิเษกสมรสค่ะ โดยเมื่อไม่นานก็เพิ่งมีข่าวดี สมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา ทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรส เมื่อเดือนกุมภาที่ผ่านมาค่ะ ในการที่เราจะสวมชุดประจำชาติเข้าซองนั้น จะต้องใส่ให้ถูกต้องและครบถ้วนค่ะ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตรวจตราค่ะ
หลังจากนั้นเราก็อออกเดินทางไปยังวัด Chimi lhakang ค่ะ วัดแห่งนี้ขึ้นชื่อเกี่ยวกับการขอลูกค่ะ สำหรับใครที่มีลูกยาก สามารถมาขอลูกจากวัดนี้ค่ะ ไกด์ของเราได้โชว์อัลบั้มภาพคนที่มาขอแล้วมีลูกได้สมใจค่ะ เหมือนว่าเวลามาขอจะต้องมาด้วยกันทั้งสามีและภรรยาค่ะ
ระหว่างทางขากลับคนขับรถได้จอดรถแวะซื้อของกันค่ะ ไกด์บอกว่าเป็นแหล่งผักออแกนิคที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ตอนแรกเราก็จะซื้อพริกกลับไทย แต่คนขับรถบอกว่าให้กลับไปซื้อที่ Paro เอา เพราะว่าถ้าซื้อตอนนี้เกรงว่าจะเน่าก่อนค่ะ เนื่องจากเป็นผักออแกนิค ไม่มีสารเคมี ถ้าซื้อแล้วควรจะรับประทานภายใน 3 วันค่ะ
หลังจากที่ช้อปปิ้งกันเรียบร้อย เราก็ได้ไปพักทานข้าวที่ Dochula pass ค่ะ แล้วมุ่งหน้าไปยัง Paro ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปกันที่ Tamchoe Lhakang ค่ะ และวันนี้เเป็นวัดสุดท้ายของงาน The 2nd Royal Bhutan Flower Exhibition ที่ Ugyen Pelri Palace งานเทศกาลดอกไม้ที่พาโรค่ะ ตอนนั้นก็บ่ายแล้ว เราเลยต้องรีบทำเวลากันหน่อยเพื่อจะไปให้ทันงาน แต่หลังจากนั้นเราก็มารู้ทีหลังว่างานได้ขยายออกไปถึงวันที่ 10 ถ้าจำไม่ผิด5555 ไหนๆก็มาแล้ว ไปชมกันสักหน่อยว่างานดอกไม้ภูฏานหน้าตาจะเป็นอย่างไร เราเสียค่าเข้าคนละ 700 nu สำหรับชาวต่างชาติค่ะ โดยวันเปิดงานวันแรก K4 และ พระราชินี Jetsun Pema พาเจ้าชายน้อยมาเยี่ยมชมค่ะ งานนี้โครงงานหลวงของไทยเราเองก็มาจัดบูธด้วยค่ะ งานจัดใกล้ๆกับ Paro dzong นี้เองค่ะ มี Paro chu ไหลผ่าน บรรยากาศดีมากเลยค่ะ งานค่อนข้างใหญ่พอสมควร เดินกันขาลากเลยค่ะงานนี้5555
ช่วงเย็นเราขอไกด์ไปกินข้าวกับเพื่อนที่ Take away cafeteria มื้อนี้เพื่อนเลี้ยงโมโม่เราค่ะ หลังจากอิ่มท้องก็ไปนั่งรถเล่นไปชมจุดชมวิวพาโรตอนกลางคืนที่ Paro Airport birds eye view เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่บรรยากาศสวยมากค่ะ คืนนี้นอนพักที่ Jigmeling hotel ใน Paro town ค่ะ
Day Nine Sightseeing in Paro
วันนี้เตรียมกายใจมาพร้อมสำหรับการพิชิต Tiger nest หรือตักซังนั้นเองค่ะ ถือเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดของภูฏานเลยค่ะ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนต้องไปสักครั้งในชีวิต ครึ่งแรกเราสามารถใช้ม้าขึ้นไปได้ค่ะ ส่วนครึ่งหลังต้องเดินขึ้นไปเอง เนื่องจากม้าไม่สามารถขึ้นไปได้ค่ะ เนื่องจากทางที่แคบและชันมากๆ โดยเสียค่าบริการ 25 ดอลลาร์ต่อคน แต่เรายังรุ่นๆค่ะ5555 คิดว่าไม่ต้องใช้ ก็เดินตัวปลิวเอาค่ะ ที่นี่ไม้เท้าขายค่ะ สำหรับผู้สูงอายุหรือไม่สูงอายุต้องการใช้เพื่อไต่เขา ไกด์จะคอยประกบเราในขณะเดินขึ้นค่ะ เพราะว่าหน้าผาค่อนข้างชัน จำเป็นต้องระมัดระวังกันหน่อยค่ะ ยิ่งสูงวิวยิ่งสวยค่ะ มีจุดให้นั่งพักเป็นระยะๆ ภายในวัดห้ามถ่ายรูปค่ะ เราจะต้องฝากกระเป๋าไว้ที่จุดรับฝาก จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยก่อนเข้าไปภายในวัดค่ะ
เราเดินขึ้นเขาประมาณเกือบๆเก้าโมงแล้วเดินลงเขามาถึงร้านอาหารประมาณบ่ายโมงกว่าๆค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินขึ้นลง หลังจากนั้นเราไปแวะกินข้าวเที่ยงที่ Taktsang Cafeteria ค่ะ
ช่วงบ่ายเราออกมาเดินสำรวจพาโรทาวน์ค่ะ ที่นี่มีสนามเด็กเล็ก ถนนเริ่มลาดยางเหมือนบ้านเราค่ะ ร้านขายของที่ระลึกมีอยู่เต็มไปหมด จขกท เลยแวะไปซื้อบัตรเติมเงินนิดหน่อยเพื่อต่อชีวิตเน็ตค่ะ5555 ที่นี่มีบริการเติมเงินออนไลน์ หรือบัตร VISA สามารถใช้ได้ค่ะ ค่าธรรมเนียมงานถอนเงินครั้งละ 150 nu พอดีเงินไม่พอ เลยแวะไปถอนตู้ของ BOB ค่ะ ร้านของที่ระลึกบางแห่งรับทั้งดอลลาร์และ VISA ค่ะ
หลังจากที่เดินเล่นในเมืองก็บังเอิญไปเห็น คาเฟ่ของที่นี่ค่ะ หน้าตาก็คล้ายๆของบ้านเรา แต่อาจจะเล็กกว่านิดหน่อย เราเลยแวะไปลองชาไทยค่ะ อยากรู้ว่ารสชาติจะเป็นยังไง ก็ถือว่าใช้ได้ค่ะ คิดถึงบ้านคิดมาทันที5555 หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปสักพัก นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนภูฏานบอกว่าให้มาลองพิซซ่าภูฏานค่ะ ตอนแรกเรากะจะกินของ Druk pizza ที่ทิมพู แต่ว่าเวลาไม่พอเลยขอมากินที่นี่แทนค่ะ ราคาไม่แพง แป้งบาง ถือว่าใช้ได้เลยค่ะ ตอนเย็นพวกเราไปกันที่ Farm house เหมือนมาทัศนศึกษาบ้านดั้งเดิมของภูฏาน เราได้รับประทานอาหารเย็นกับคนพื้นเมืองเลยค่ะ เจอทัวร์ญี่ปุ่นที่พิ่งเจอที่ตักซัง คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะกลับไฟล์ทเดียวกันค่ะ
Day Ten Depart from Paro Airport
ในที่สุดเวลาที่ไม่ได้รอคอยก็มาถึง5555 วันที่เราต้องจากลาดินแดนแห่งนี้ TT เราลงทุนตื่นเช้าตั้งแต่ไก่โห่เพื่อมาเดินเล่นในเมืองเพื่อซึมซับภูฏานไว้ให้ได้เยอะที่สุดค่ะ หาซื้อของกินไปพลางๆ โค้กของภูฏานขวดจะเล็กกว่าที่ไทยค่ะ เราได้ขนม น้ำแอปเปิ้ลมา เลย์อินเดียกลับไทยค่ะ ส่วนของฝากนั้นเราแวะซื้อกันตั้งแต่อยู่ที่ทิมพูเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานัดเราก็ออกเดินทางไปยังสนามบิน กินลมชมวิวความสวยงามให้เข้ามาอยู่ในความทรงจำ
แถวข้างๆของเราเป็นทัวร์ญี่ปุ่นที่เราเจอที่ตักซังค่ะ กลับไฟล์ทเดียวกันจริงๆด้วย ขากลับไม่เจอคนไทยเลยค่ะ ทั้งเครื่องคงฉายเดี่ยวคนไทยกันแค่สองคน5555
มาแล้วค่ะ นกยักษ์ของเราที่พาเราเหินเวหาข้ามหิมาลัยมา ณ ดินแดนแห่งนี้ แต่จะว่าไปแล้ว อยากตกเครื่องจัง55555 หนีออกมาตอนนี้จะทันไหมหนอ5555 ฮือ ก็คนมันไม่อยากกลับเลย TT
ความเดียวดายนี้555 ขากลับได้นั่งที่ๆเดียวกับขามาเลยค่ะ มุมเดิม ที่เดิม เพิ่มเติมคือคนไทยข้างๆหายไป55 แต่เป็นป้าฝรั่งจากUKแทนค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นป้าฝรั่ง UN เวอร์ชั่นสองหรือเปล่าหนอ555
นิตยสารบนเครื่องเป็นรูปเจ้าชายน้อยค่ะ หน้าตาอาหารบนเครื่องขากลับค่ะ รอบนี้ขอเป็นเมนูไก่
จบแล้วค่ะ ทริปภูฏาน ดินแดนแห่งความฝันที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป หลังจากถึงไทยมาได้1วัน เราก็คิดถึงมากๆค่ะ ไม่เป็นอันทำมาหากินเลย555 ถ้าซื้อตั๋วบินกลับไปตอนนั้นได้คงทำเลย ประทับใจกับประเทศนี้จริงๆค่ะ สุดท้ายนี้อย่างบอกว่ารักเสมอและจะรักตลอดไปค่ะ จะต้องกลับไปเยี่ยมให้หายคิดถึงเร็วๆนี้อย่างแน่นอนค่ะ :) Will see you around la ! Bhutan ^^ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศเล็กๆที่น่ารักได้ที่ Line : hypery นะคะ ติดตามเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษได้ที่นี่ค่ะ : goo.gl/KZHvzj เวอร์ชั่น Story log ที่เล่าประสบการณืสนุกๆ ติดตามได้ที่ลิ้งนี้นะคะ https://storylog.co/Sonam/book/593cdd831ed3e89157e71fb3
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)