นั่งแท๊กซี่ออกมาจากบ้านด้วยความตื่นเต้นค่อนข้างมาก อุตส่าห์เช็คอินก่อนแล้วค่อยมาโหลดกระเป๋า แต่แค่รอโหลดกระเป๋าแถวก็ยาวมาก รอเกือบชั่วโมง นี่มันสนามบินหรือหมอชิตกันแน่!
ถึงสนามบินซีอานเสียนหยางตอน 21.35 น. อากาศประมาณ 20 องศา แต่ไม่รู้สึกหนาวเลย อยากทุ่มเสื้อกันหนาวทิ้ง เดินชิลล์ ๆ หาทางไปซื้อตั๋วขึ้นรถบัสไปสถานีรถไฟ เราจะเดินทางไปสู่เมืองแห่งจักรพรรดินี #อู่เจ๋อเทียน กันค่ะ นั่นก็คือ เมือง #ลั่วหยาง นั่นเอง ว่ากันว่าเมืองลั่วหยางแห่งนี้เป็นเมืองหลักที่พระนางใช้ในการปกครองสมัยราชวงศ์โจวนะคะ
หลังจากขึ้นรถ ระหว่างทางมีเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อยคือ ขณะรถแล่นมีเสียงปี๊ด ปี๊ด ปี๊ด ตลอดทาง เหมือนรถจะมีความผิดปกติอะไรสักอย่าง ฟังไม่รู้เรื่อง เรานี่แอบกลัวคาร์บอมบ์นะ ถูไถแล่นไปสักพักก็จอด พร้อมกับมีรถบัสอีกคันมารับเราต่อไปส่งยังสถานีรถไฟซีอาน ไม่ใช่สิ มันจอดสุดป้ายที่โรงแรมหลงไห่ แล้วเราก็ถามทางเดินต่อไปจนถึงสถานีรถไฟซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
พอไปถึงสถานีรถไฟก็งง หาที่เอาตั๋วที่จองไว้ไม่เจอ (การจองรถไฟที่จีนจองผ่านแอพ แล้วตัดเงินผ่านบัตรเครดิต สะดวกสบายมากค่ะ) นึกว่าต้องเอาตั๋วก่อนแล้วค่อยเข้าไป สรุปคือ สแกนกระเป๋าก่อนเลย แล้วค่อยไปเอาตั๋วข้างใน
ตอนนี้เราก็ได้แต่รอเวลารถไฟมา ขบวน T206 แบบ soft sleeper ราคา 191.5 หยวน
ตามกำหนดรถออกเวลา 0.49 น. แต่มาเลทนิดหน่อย
ขึ้นรถไฟได้ นอนสบายเลย เพราะรอบนี้จองแบบ soft sleeper มา แต่ก็มีแอบตื่นมาเกือบทุกชั่วโมง กลัวลงรถผิดสถานีอ่ะ ตี 5 กว่าเจ้าหน้าที่สาวก็มาปลุกให้ตื่น เตรียมลงแล้ว
ลงไปก็ตื่นเต้นอีก ไปต่อไงดี ของก็หนัก (ยังไม่ได้ซื้อไรเลยคร่า) ว่าจะเรียกแท๊กซี่ เท่าที่ดูแผนที่มาจากสถานีรถไฟไปโรงแรมมันไม่ไกลนะ แต่คนที่มาเสนอราคานี่ตั้งมาซะ 50 หยวน เมินเสียเถิด สุดท้ายต่อได้เหลือ 30 หยวน ซึ่งเราก็ว่ายังแพงอยู่ดี แต่ก็ไปตกลงได้ไงไม่รู้
คนขับก็ดีใจหาย ช่วยกุลีกุจอยกกระเป๋าไปให้เรา พอไปถึงรถ งงคร่า มันไม่ใช่เป็นรถแท๊กซี่อ่ะสิคะ เป็นรถแบบเราขับส่วนตัวแล้วมาหาลำไพ่พิเศษ เอ่อ นี่เรากำลังจะขึ้นรถไปกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้ แล้วการนั่งรถแท๊กซี่ที่นี่ชอบนั่งแบบคู่กับคนขับเสียด้วย คนขับก็พยายามชวนคุยนี่นั่น จนได้ความว่าเราไม่ใช่คนจีน พูดจีนไม่ค่อยได้นะ จึงหยุดชวนคุยไปพักนึง
เริ่มรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ยอมเสียตังค์นั่งรถมา ประหยัดเวลาได้อยู่ เพราะส่วนใหญ่เท่าที่เคยนั่งรถเมล์ที่นี่จะอ้อมวนไปมากว่าจะถึง
หลังเช็คอินแล้ว มาเที่ยวกันที่แรกที่ หวางเฉิงกงหยวน กันค่ะ
มาพูดถึงความเป็นมาเกี่ยวกับสวนนี้หน่อยแล้วกัน สวนนี้มีชื่อว่า “หวางเฉิง” ซึ่งมีความหมายว่า เมืองของฮ่องเต้ ถูกสร้างขึ้นในปี 2498 บนพื้นที่ของเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์โจว (คนละช่วงกับราชวงศ์โจวของพระนางบูเช็คเทียนนะคะ อันนี้เป็นก่อนสมัยพระนางบูเช็คเทียน) มีขนาดประมาณ 0.4 ตารางกิโลเมตร และถือว่าเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในลั่วหยาง (ทำไมเรารู้สึกว่าก็ขนาดพอ ๆ กับสวนที่เรามาเที่ยวเมื่อปีก่อนหว่า หรือเค้าอาจจะรวมถึงพื้นที่สวนสัตว์และสวนสนุกที่เราไม่ได้เดินไปดู)
ประตูทางเข้าสวนจะเป็นกำแพงสีแดง หลังคาประดับกระเบื้องเคลือบ ประตูแสดงให้เห็นถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณของเมือง
หวางเฉิงกงหยวนแต่ละฤดูจะโดดเด่นด้วยดอกไม้ต่างชนิดกัน เช่น ในฤดูใบไม้ผลิจะเต็มไปด้วยดอกโบตั่น ฤดูร้อนจะเห็นดอกบัวสวยงาม ฤดูใบไม้ผลิก็จะเป็นช่วงเวลาของดอกเบญจมาศ
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานเทศกาลดอกโบตั๋นประจำปี 2560 แท่ม แท๊ม แท่ม แท่ม
บรรยากาศยามเช้าด้านที่เข้ามาจะไม่เจอดอกโบตั๋นต้องเดินไปลึก ๆ กว่าจะเจอ
ด้านในมีของที่ระลึกขาย แต่ละอันสวยไม่เหมือนกัน ไม่แพงด้วยนะเออ แต่เราขี้เกียจขนกลับ
ไข่มุกสด ๆ จากฝาก็มีขาย
ขนมหรือไข่มุกกันแน่นี่
ขนาดรู้สึกว่าในสวนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ กว่าจะได้ออกมาก็เกินเที่ยงวันล่ะจ้า พอออกมาด้านนอกเราก็เดินชมวิวตามทางไปเรื่อย ๆ จะหาของกินน่ะ เจอของกินที่เรียกได้ว่าเป็น The must อีกอย่างที่ห้ามพลาด ถ้ามาในฤดูกาลนี้ก็คือ ขนมไส้ดอกโบตั๋นนนนนนนนน....
เราเดินไปกันต่อค่ะอีกที่นึง
ระหว่างทางจากหวางเฉิงกงหยวนเดินตรงไปอย่างเดียว (ไกลอยู่ แต่เราอยากเดินดูร้านขายของริมทาง เลยเลือกที่จะเดินไป) ก็จะถึงโจวหวางเฉิงเทียนจื่อเจี้ยลิ่วป๋ออู้ก่วน (周王城天子驾六博物馆, Zhōu wángchéng tiānzǐ jià liù bówùguǎn, The Museum of Imperial Carriages of the Emperor of Zhou Dynasty) โอย ชื่อจะยาวไปไหน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAA ภายในจัดแสดงเรื่องราว และสิ่งขุดค้นเกี่ยวกับราชวงศ์โจวตะวันออก
สมัยโบราณชาวจีนจะให้ความสำคัญกับรถม้าและม้าที่ใช้ลากรถเป็นอย่างมาก จำนวนของม้าที่ใช้ลากจูง และขนาดของรถม้า ใช้เป็นตัวแทนแสดงถึงลำดับชั้น และบ่งบอกได้ว่าขุนนางหรือบุคคลชั้นสูงที่นั่งอยู่ในรถนั้นเป็นใคร
มีบันทึกโดย Zhou Li กล่าวไว้ว่า รถม้าที่ฮ่องเต้ในราชวงศ์โจวนั่งจะต้องถูกลากจูงด้วยม้า 6 ตัว และรถม้าที่ขุนนางหรือคนทั่วไปนั่งจะต้องลากจูงด้วยม้าไม่เกิน 4 ตัว ข้อกำหนดนี้ถูกปรับให้ยืดหยุ่นจนถึงช่วงสงครามระหว่างรัฐก่อนที่จีนจะถูกรวมแผ่นดินอีกครั้งโดยฉินฉื่อหวางตี้ หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า จะขุดค้นพบม้า และรถม้าจำนวนมากในพื้นที่ไม่ไกลจากสุสานขนาดใหญ่ของราชวงศ์โจวตะวันออก
ในปี 2545 มีการขุดค้นพบรถม้าที่ถูกลากจูงด้วยม้าจำนวน 6 ตัว ซึ่งนั่นหมายความว่า สุสานที่ถูกขุดค้นพบนี้น่าจะเป็นของฮ่องเต้องค์ใดองค์หนึ่งของราชวงศ์โจว
นอกจากรถม้าแล้ว จำนวนและขนาดของเครื่องดนตรีที่ถูกขุดค้นได้ก็สามารถเป็นตัวแทนบ่งบอกถึงฐานะของบุคคลที่ถูกฝังอยู่ในสุสานนั้นด้วย
ชมเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์จนพอแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นรอบนอก เราเอาขนมดอกโบตั๋นมานั่งชิมในสวนดีกว่า รสชาติดีเลยทีเดียว
ใครมาเที่ยวลั่วหยางไม่ควรพลาดนะคะ เสียดายที่เปลือกนอกร่วนไปหน่อย เลยไม่ได้ซื้อกลับมาฝากคนอื่น กลัวเละเสียก่อน
หลังจากนี้เราก็จะนั่งรถเมล์ราคา 1 หยวน ตรงไปยังบริเวณจุดที่เคยเป็นพระราชวังของพระนางบูเช็คเทียนกันค่ะ
Sui and Tang Dynasties City National Heritage Park จุดนี้เป็นบริเวณที่พระนางบูเช็คเทียนเคยใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองในสมัยราชวงศ์โจว แต่สิ่งก่อสร้างที่เราจะเห็นต่อไปนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่นะคะ
พระราชวังแห่งจักรพรรดินี แห่งนี้ (ตั้งชื่อให้เอง) เราภูมิใจนำเสนอมาก ๆ ไม่รู้เป็นเพราะโชคชะตา และอะไรอีกหลายอย่างมารวมกัน เมื่อปีก่อนที่ได้มีโอกาสมาเยือนลั่วหยางเพื่อมาชมความงามของดอกโบตั๋น และได้นั่งรถผ่านที่นี่ แต่ยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมข้างใน พอมาวางแผนเพื่อจะไปตามรอยสถานที่ที่เกี่ยวกับพระนางบูเช็คเทียน แกะรอยไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าที่นี่ก็มีความเกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน แต่เกี่ยวกับประวัติและความเป็นมา เราอาจจะมีให้ข้อมูลผิดบ้างนะคะ เนื่องจากข้อมูลที่หาได้ส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน ใครคิดเห็นว่าควรแก้ไขตรงไหนแจ้งได้ค่ะ
ราคาตั๋วแพงจับใจมาก 120 หยวน ภายในจะมีอาคารให้เข้าชมอยู่ 2 จุดหลัก ๆ คือ หมิงถัง และเทียนถัง
พระราชวังแห่งจักรพรรดินีถูกค้นพบเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เมื่อคนงานก่อสร้างกำลังขุดพื้นที่เพื่อจะสร้างตึกบริษัทเดินรถของเมืองลั่วหยางแล้วได้พบกำแพงอิฐโบราณโดยบังเอิญ จึงหยุดการขุด และเรียกเพื่อนร่วมงานคนอื่นมาดู หลายคนสงสัยว่าน่าจะเป็นสระน้ำของพระนางบูเช็คเทียน
หลังจากนั้นก็ได้มีนักโบราณคดีจำนวนมากมาช่วยกันร่วมสำรวจพื้นที่ ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ จนพบกว่า สิ่งก่อสร้างนี้มีขนาดใหญ่ถึง 10,000 ตารางเมตร
มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า หมิงถังแห่งนี้ถูกสร้างใหม่ และถูกเผาทำลายหลายต่อหลายครั้ง ในสมัยของพระนางบูเช็คเทียน หมิงถังถูกใช้เป็นสถานที่ทำพิธีบูชาฟ้าดิน และต้อนรับคณะทูตจากประเทศต่าง ๆ
บางจุดจะมีเกมส์ให้ได้ลองเล่น และสิ่งที่เซอร์ไพรส์เรามากที่สุดก็คือ ระหว่างเดินดูอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเพลงระบำหลานหลิงวังดังขึ้นมา รีบวิ่งไปดูใหญ่เลย ปรากฎว่า มันคือจุดที่ให้เช่าชุดฮ่องเต้ใส่ แล้วขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์เพื่อดูสนมออกมาร่ายรำระบำหลานหลิงหวังค่ะ เออ...คิดได้เนอะ
ภาพบนกำแพงนี้ดูเพลินมาก เป็นเรื่องราวของบูเช็คเทียนในรูปแบบเคลื่อนไหว
หมิงถัง และเทียนถังยามค่ำคืน งดงามจริง ๆ
ลากร่างกระปลกกระเปลี้ยออกมา ฮึดสู้ ว่าจะไปเดินตลาดโบราณยามค่ำคืนกันต่อค่ะ ที่ลี่จิ่งเหมิน
ลี่จิ่งเหมิน (丽景门, Lìjǐng mén) ประตูเมืองโบราณที่สร้างขึ้นครั้งแรกสมัยราชวงศ์สุย (พ.ศ. 1124-1161) และมีการสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยรัฐบาลเมืองลั่วหยางเมื่อปี พ.ศ. 2545 ที่หลังประตูเมืองแห่งนี้ยามค่ำคืนจะเต็มไปด้วยความคึกคักของพ่อค้า แม่ค้า และนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองลั่วหยาง
กิน ช้อปจนอิ่มหนำแล้ว กายละเอียดก็นำพากายหยาบของเราค่อย ๆ เคลื่อนไปขึ้นรถเมล์ กลับถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ หลับเป็นตาย
ตื่นขึ้นมาไม่เช้าไม่สายมาก เก็บของแล้วลงไปกินข้าวเช้าที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ซึ่งอร่อยใช้ได้ และมีเมนูหลากหลายมาก สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่ราว 7 โมงครึ่งชาวจีนทั้งหลายก็กินข้าวเสร็จกันหมดแล้ว ตื่นกันเช้ามากจริง ๆ
เหมือนจะโชคดีที่ไม่ได้จองตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้า ไม่อยากเร่งรัดตัวเองจนเกินไป ค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ นั่งรถเมล์ไปต่อรถเมล์ จนมาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงลั่วหยางหลงเหมิน
รถไฟนั่งสบาย หลับตลอดทางจนถึงซีอาน
จากแผนเดิมที่ว่าจะไปขี่จักรยานบนกำแพงเมือง เราก็เปลี่ยนไปเที่ยวใกล้ ๆ แทน เดินไปได้ นั่นคือ ไปชมมัสยิดที่ยิ่งใหญ่แห่งซีอานกันค่ะ
มัสยิดที่ยิ่งใหญ่แห่งซีอาน (西安大清真寺, Xīān Dà Qīngzhēnsì, Great Mosque of Xian) ตั้งอยู่ท่ามกลางตลาดมุสลิมที่แสนวุ่นวาย เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ และยังเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย
เมื่อก้าวเข้ามาในภายในบริเวณมัสยิด คุณจะพบกับอาคาร ซุ้มศาลา ระเบียงทางเดิน ห้องประชุม และสวนที่ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว บรรยากาศเคร่งขรึม และน่าเคารพ
หลังจากนั้นก็ออกไปเดินดูของที่ระลึก หาของกินกันที่ หุยหมินเจีย หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า ถนนมุสลิม (回民街, Huímín jiē, Muslim Quarter) เนื่องจากบริเวณนี้มีคนมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พ่อค้าแม่ค้าร้านแถวนี้จึงเป็นคนมุสลิมเป็นส่วนใหญ่
ถนนมุสลิมเป็นจุดที่ห้ามพลาดสำหรับคนที่มาซีอานทั้งแบบมากันเอง และมาแบบทัวร์ เพราะของซื้อ ของฝาก ของกินเยอะมากจริง ๆ สำหรับเรามาซีอานสองครั้งแล้วก็มาทุกรอบ แถมรอบละหลายครั้งอีกต่างหาก บางทีไม่ได้ซื้ออะไรก็มาดูบรรยากาศความวุ่นวาย ตื่นตาตื่นใจดี
บรรยากาศถนนมุสลิมยามค่ำคืน ที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ พ่อค้าแม่ค้าผิวขาว แก้มแดง จมูกโด่ง หน้าตาดีกันทั้งสองฝากถนน เสียอยู่อย่าง บางทีทำของขายไป สูบบุหรี่ไป ไม่ชอบเลย
กว่าจะกลับห้องก็ดึกอีกเช่นเคย
ด้วยความที่เมื่อคืนกลับดึก นอนดึก (จริง ๆ ตั้งแต่คืนแรกที่มาเที่ยวก็ดึกทุกคืนน่ะหล่ะ) เลยตื่นสายนิด ๆ ทำให้ต้องเลื่อนแผนการเดินทางไปสุสานเฉียนหลิงซึ่งเป็นสุสานของพระนางบูเช็คเทียนไปวันพรุ่งนี้แทน แอบลุ้นหน่อยล่ะกัน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ซีอานแล้ว
งั้นตามมากันเลย ก่อนออกเดินทางเราไปเติมพลังกันก่อนดีกว่า คิดอะไรไม่ออกก็ที่เดิมถนนมุสลิม
สถานที่ที่เราจะออกเดินทางไปเที่ยวชมกันที่แรกของวันนี้นั่นก็คือ “ต้าหมิงกง (大明宫)” เป็นพระราชวังหลักของราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161-1450) ปัจจุบันเป็นมรดกแห่งชาติที่สำคัญของประเทศจีน และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2557 สร้างขึ้นโดยหลี่ซื่อหมิน หรือจักรพรรดิถังไท่จง เพื่อต้องการให้เป็นพระราชวังฤดูร้อนของหลี่ยวน หรือจักรพรรดิถังเกาจู่ผู้เป็นพระราชบิดา
เมื่อครั้งที่พระราชวังแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ มีขนาดกว้างใหญ่ถึง 4 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนับได้ว่าใหญ่เป็น 3 เท่าของพระราชวังต้องห้าม ที่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง ความใหญ่โตและสง่างามของพระราชวังแห่งนี้ ทำให้ในสมัยนั้นถึงขั้นเคลมว่า ที่นี่เป็นศูนย์กลางการปกครองของโลก
การเดินทางมาที่นี่ไม่ง่าย ไม่ยาก นั่งรถใต้ดิน Line 2 มาลง Daminggong Xi (Daming Palace West) Station และออกทางประตู D เดินไปไม่ไกลมาก (แต่ถ้าแดดแรงอย่างวันที่ไปก็จะรู้สึกว่าไกลมาก) ก็จะถึงทางเข้าแล้วค่ะ มันก็จะงง ๆ หน่อย เพราะสวนโดยรอบจะดูกว้าง โล่ง นาน ๆ จะเจอคนสักที
เมื่อก่อนพื้นที่ทั้งหมดนี้มีคนอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น แต่พอมีการค้นพบส่วนของต้าหมิงกงก็ไล่คนที่อยู่อาศัยทั้งหมดออกไป
ต้าหมิงกงถูกค้นพบในปี พ.ศ.2500 โดยมีการสำรวจและขุดค้นส่วนของตำหนัก Hanyuan เป็นที่แรกระหว่างช่วงปี พ.ศ.2502-2503 หลังจากนั้นหน่วยงานของทางการจีนจึงได้ร่วมมือกับยูเนสโก
จนกระทั่งวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2553 ได้มีการเปิดมรดกแห่งชาติต้าหมิงกงแห่งนี้ให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม พื้นที่ 2 ใน 3 ของทั้งหมดเป็นสวนที่สามารถเข้าชมได้ฟรี อีก 1 ส่วนซึ่งต้องเสียเงินเข้าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ การจัดนิทรรศการ และพื้นที่อนุรักษ์
บรรยากาศส่วนที่เข้าได้ฟรี ปัจจุบันก็จะมีชาวจีนพาครอบครัวมาเที่ยวเล่น ช่วงนี้ก็จะนิยมเล่นว่าวกันเป็นพิเศษ ลมแรงดีมาก เย็น ๆ ก็จะมีพาน้องหมามาเดิน ถ้าคนที่มาคาดหวังว่าจะเห็นวังเป็นหลัง ๆ แล้วล่ะก็อาจจะต้องผิดหวัง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นซากที่ขุดค้นได้มากกว่าพร้อมป้ายคำอธิบาย แต่อย่างไรก็ดีมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่สิ่งก่อสร้างอายุนับพันปี แล้วมีคนมาอยู่อาศัยทับไปแล้วตั้งนานยังมีการบริหารจัดการกู้กลับมาจนได้มากมายขนาดนี้
ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็น semi-underground เล่าความเป็นมาในการก่อสร้างต้าหมิงกง สิ่งที่ขุดค้นพบ เรื่องราวในสมัยราชวงศ์ถัง การทวงคืนพื้นที่จนกลับมาเป็นสวน และพื้นที่พระราชวังเก่าในปัจจุบัน
หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ครบแล้ว ขึ้นมาด้านบนของพิพิธภัณฑ์ก็จะมองเห็นวิวโดยรอบ ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระราชวังสมัยก่อนมาก ดูสิเห็นคนตัวจิ๋วเดียวเอง ช่วงฤดูนี้จะมีคนมาเล่นว่าวกันเยอะ ก็จะเห็นว่าวลอยอยู่เต็มท้องฟ้าด้วย
ดูจากหน้าบัตรแล้ว เหมือนจะมีอีกจุดที่เรายังไม่ได้ไปแต่ว่าตอนนั้นเวลาก็ 5 โมงกว่าแล้ว จุดที่ตั้งใจมาก็ครบแล้ว และเราจะต้องรีบไปทำกิจกรรมต่อไปก่อนมืดนั่นก็คือ การขี่จักรยานบนกำแพงเมืองซีอาน เลยต้องขอโบกมือลาต้าหมิงกงแต่เพียงเท่านี้
พาร่างที่ตากแดดจ้า ทั้งเดิน ทั้งวิ่งด้วยกลัวว่าจะมืดซะก่อน มาจนถึงสถานีรถใต้ดินที่เดิม แล้วนั่ง Line 2 ไป Yongningmen station เดินขึ้นมาก็จะพบกับทางขึ้นกำแพงเมืองเก่าซีอานทางด้านทิศใต้
กำแพงเมืองซีอาน เป็นกำแพงเมืองเก่าของจีนที่ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่มานานนับพันปีจนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นระบบป้องกันทางการทหารยุคโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำแพงเมืองในปัจจุบันมีการต่อเติมมาจากกำแพงเดิมที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง โดยฮ่องเต้จูหยวนจาง จักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หมิง และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้มีการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
ครั้งนี้เรามาปั่นมาคนเดียวตอนเย็นจนมืด ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 45 นาที ได้เห็นทั้งวิวช่วงที่ยังมีแสงสว่าง และช่วงมืด สวยงามไปคนละแบบ
ช่วงที่มืดก็อาจจะดูทางลำบากนิดนึง เพราะโคมไฟสีแดงอยู่ข้างทาง ให้แสงสลัว ชวนให้มีคนใส่ชุดจีนโบราณมายืนกวักมือเรียกอยู่มากกว่าช่วยส่องแสงนำทาง มีอยู่บางช่วงพื้นขรุขระมาก และขี่ยาก ปั่นไปเหมือนมีความรู้สึกปั่นอยู่กับที่ บางช่วงมีเนินขึ้น-ลง ไม่ได้ปั่นสบายอย่างที่จินตนาไว้ก่อนมาเลย ช่วงสัก 2 ทุ่ม ปั่นไปนาน ๆ จะเจอคนสักที
กว่าจะปั่นจบครบรอบก็เล่นเอาหอบแฮ่กอยู่ เพราะช่วงแรกมัวแต่หยุดถ่ายรูปบ่อย ทำให้ช่วงท้ายเร่งปั่น จนแขนขาอ่อนแรงแทบลากร่างกลับโรงแรมไม่ไหว
ถึงจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ก็หวั่นไหวมาเดินถนนมุสลิมอีกเช่นเคย วันนี้หนักกว่าทุกวัน เดินจนตลาดปิด ทางเดินใต้ดินข้ามถนนก็ปิด กว่าจะหาทางข้ามกลับไปโรงแรมได้ลมหายใจรวยรินเลยจ้า
ตอนนี้จะเป็นที่สุด ของที่สุด ของที่สุด ของที่สุด....ของการมาตะลุยเดี่ยวทริปนี้นั่นก็คือ การได้ไปเยี่ยมชม “สุสานเฉียนหลิง (乾陵)” นั่นเองงงงงงงงงงง
การเดินทางไปสุสานเฉียนหลิงก็ควรจะออกแต่เช้าหน่อย เนื่องจากคืนนี้เราจะต้องบินกลับกรุงเทพแล้ว หลังจากฝากสัมภาระไว้ที่เคาท์เตอร์โรงแรมแล้ว เราก็นั่งรถใต้ดินไป Line 1 ไปลงที่ Hancheng Road Station ออกจากสถานีมาก็จะเจอสถานีรถทางไกลไปเฉียนหลิงกันค่ะ
หลังจากนั่งรถอยู่เป็นชม. ก็จะถึงสถานีรถบัสอีกเมือง หลังจากนั้นก็ต้องหารถต่อไปเฉียนหลิงล่ะค่ะ จากข้อมูลที่หามานั่งรถต่อใช้เวลาอีกประมาณ 10 นาที
สุสานเฉียนหลิงเป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิถังเกาจง และจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน เคียงคู่กันอยู่บนเนินเขา Liangshan ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองซีอานในปัจจุบันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 80 กิโลเมตร
การออกเแบบเฉียนหลิงเป็นเหมือนการจำลองเมืองซีอานหรือฉางอานในอดีต ทางตอนใต้จะมีเนินเขาเล็ก ๆ สองแห่ง ระหว่างทางจะมีหินแกะสลักเป็นรูปสัตว์ และมนุษย์ ได้แก่ ม้า นกกระจอกเทศ ม้ามีปีก และสิงโตคู่ ซึ่งมีทั้งหมด 24 ชิ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่เตือนให้ระลึกถึงว่าราชวงศ์ถังมีการทำการค้า และความสัมพันธ์ทางการทูตกับโลกที่อยู่ไกลออกไปเหนือพรมแดนของจีน โดยดูจากลักษณะรูปปั้นจะเห็นว่ามีอิทธิพลจากกรีก และประเทศทางตะวันตก
สุสานนี้มีความแข็งแรง มีโครงสร้างที่ถูกรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี เป็นหนึ่งในสุสานที่รอดพ้นจากพวกโจรขโมยสุสานมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
การออกแบบสุสานอย่างลึกลับนี้ ทำให้ไม่มีใครค้นพบทางเข้ามาก่อน จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ. 2493 ที่ทางเข้าถูกค้นพบโดยชาวนาท้องถิ่นโดยบังเอิญ เนื่องจากเค้าต้องการระเบิดหินเพื่อสร้างถนน
หลังจากผ่านการเดินขึ้นบันไดมาก็จะพบทางเดินลาดยาวนำไปสู่สุสานของทั้งสองพระองค์
“ความสำเร็จหรือความผิดพลาดของเราควรจะได้รับการประเมินโดยอนุชนรุ่นหลัง ดังนั้นปล่อยให้มันเป็นศิลาที่ไร้อักษรเสียดีกว่า”
ศิลานี้มีความสูง 8.03 เมตร หนัก 98.8 ตัน (เอ๊ะ เค้ายกไปชั่งยังไงหว่า) สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิถังจงจงผู้เป็นพระโอรส เพื่อรำลึกถึงพระนางบูเช็คเทียน แต่ไม่มีอักษรปรากฏบนศิลาเหมือนศิลาฝังพระศพของจักรพรรดิพระองค์อื่น ที่จะมีการจารึกถึงคุณงามความดีไว้บนศิลา แต่จะมีการแกะสลักหินเป็นลวดลายมังกร และหอยนางรม
กลับมาดูอีกด้านซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิถังเกาจงบ้าง ศิลาจารึกมีน้ำหนัก 89.6 ตัน บนศิลาจะมีการบันทึกเรื่องราวของพระองค์ในระหว่างที่ครองราชย์ซึ่งมีการร่างโดยพระนางบูเช็คเทียน และเขียนโดยจักรพรรดิถังจงจงผู้เป็นพระราชโอร
นอกเหนือจากสุสานเฉียนหลิงแห่งนี้ที่เป็นสุสานหลักแล้ว ยังมีสุสานย่อยอีก 17 แห่งขององค์หญิง องค์ชาย และเสนาบดี ซึ่งได้จัดเตรียมไว้ให้พร้อมกับสุสานของจักรพรรดิและจักรพรรดินี มีการค้นพบวัตถุทางวัฒนธรรมมากกว่า 4,300 ชิ้นซึ่งรวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ฉูดฉาด
ลองตามมาดูค่ะ เราจะไปดูพิพิธภัณฑ์ และสุสานขององค์ชาย Yide หรือ Li Chongrun ซึ่งมีฐานะเป็นหลานชายของพระนางบูเช็คเทียน
ภาพวาดฝาผนังระหว่างทางเดินในสุสาน
ขากลับจะเหนื่อยนิด เหมือนเดินขึ้นเนิน
ต่อไปเราก็จะไปกันต่อที่สุสานขององค์หญิง Yongtai ซึ่งเป็นหลานสาวของพระนางบูเช็คเทียน และเป็นองค์หญิงองค์ที่เจ็ดแห่งจักรพรรดิถังจงจง ตัวสุสานถูกสร้างด้วยรูปแบบเดียวกันกับสุสานของพระนางบูเช็คเทียน ภายในมีโบราณวัตถุนับพันชิ้น และภาพวาดฝาผนังอันวิจิตร
พระองค์ถูกลงโทษให้ถึงแก่ชีวิตเนื่องจาก มีการพูดถึงเรื่องราวส่วนตัวของพระนางบูเช็คเทียนกับพระสวามี และน้องชาย Li Chongrun
ระหว่างทางเดินลงจะมีภาพวาดฝาผนัง และตุ๊กตาปั้นตัวเล็ก ๆ ฝังอยู่ในช่องฝาผนัง
สุดปลายทางจะเป็นโลงบรรจุพระศพ ไม่แน่ใจว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่ในพิพิธภัณฑ์บอกไว้ว่าโลงนั้นทำด้วยหยกดำที่แกะสลักไว้อย่างสวยงาม หนักถึง 39 ตัน หืมมมมม อะไรจะอลังการขนาดนั้น
หลังจากออกจากสุสานก็ออกมาเข้าอาคารที่อยู่ใกล้เคียงกัน เรียกว่าอะไรไม่รู้ ข้างในมีการสร้างหุ่นจำลองของพระนางบูเช็คเทียนในเหตุการณ์ต่าง ๆ แบ่งเป็นห้อง ๆ เช่น ตอนอยู่ในวัง ตอนออกเยี่ยมชาวบ้าน ฯลฯ ซึ่งห้ามถ่ายรูป แต่ก็มีคนถ่ายกันอยู่นะ เราไม่ได้ถ่าย
หลังจากนั้นก็โดนเฮียแท็กซี่คนเดิมก็เทเราให้แท็กซี่อีกคันไปส่งที่สถานีรถบัสกลับซีอาน แต่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มจากที่ตกลงไว้
พอกลับถึงซีอาน เราก็ไปเดินหาของกินที่ถนนมุสลิมอีกเช่นเคย กินจนแน่นพุง แล้วค่อยกลิ้งกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม ตอนแรกว่าจะเรียกแท็กซี่ไปส่งจุดที่ขึ้นรถ Airport bus แต่ไม่มีใครยอมไปเลย จะเหมาไปส่งสนามบินท่าเดียว เราเลยต้องลำบากขึ้นรถใต้ดิน ไปโรงแรมหลงไห่เอง
ปิดทริปตามรอยอู่เจ๋อเทียน หรือพระนางบูเช็คเทียนไปอย่างสมบูรณ์แบบค่ะ
สำหรับรายละเอียดการเดินทางอย่างละเอียดสามารถเข้าไปดูกันได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ http://bit.ly/2wrWJyv
หรือถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่เพจ @GoNeverStopWithMe นะคะ
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)