รีวิว

ขับรถบ้าน ตะลอน Canadian Rockies 9 คืน 10 วัน

Canadian Rockies
วันออกเดินทาง 01/05/2017
วันเดินทางกลับ 10/05/2017
จำนวนผู้ร่วมทริป ผู้ใหญ่ 2 คน, เด็ก 2 คน
งบประมาณเฉลี่ยต่อคน > 50,000 บาท
บันทึกเพิ่มเติม การท่องเที่ยวครั้งนี้ เป็นการขับรถบ้านเที่ยวแบบครอบครัว โดยเส้นทางขับรถเที่ยวแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ถือว่าสวยงามที่สุดแห่งในแคนนาดา ผมจึงอยากบันทึกเรื่องราวและแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวให้เพื่ิอนๆได้อ่านกันครับ....
81K views
วันที่
1

Canadian Rockies ขึ้นชื่อว่ามีธรรมชาติสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การที่เราท่องเที่ยวด้วยรถ RV นั่นยิ่งเพิ่มความสนุกขึ้นไปอีก ทริปนี้เป็นการท่องเที่ยวครั้งแรกที่พวกเราเดินทางด้วยรถ RV/Motorhome หรือ รถบ้านที่เรารู้จักกัน โดยเราจะเริ่มต้นจากเมือง Vancouver ขับไปทางทิศตะวันออก โดยมีจุดหมายปลายทางหลักของเรานั้น จะไปเที่ยวใน National Parks เช่น Jasper, Banff, Lake Louise, Yoho และ Okanagan Valley เส้นทางขับรถเที่ยวแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ถือว่าสวยงามที่สุดแห่งในแคนนาดา หรือ ติดอันดับยอดนิยมของโลกเลยก็ว่าได้

พวกเราโชคดีมากที่ได้รถใหม่เอี่ยมเพิ่งขับไปประมาณสามพันกว่ากิโลเมตร แถมปีนี้ยังเป็นปีพิเศษ ที่ครบรอบ 150 ปี ของประเทศ Canada เลยทำให้ได้เข้า Park ต่างๆฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตอนเข้าประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะเลย ช่วงสองสามวันแรกอาจตื่นเต้นบ้างเพราะทุกอย่างใหม่ไปหมด ตั้งแต่เริ่มขับรถออกจากที่เช่า การหาที่จอดรถ การใช้อุปกรณ์ เช็คอุปกรณ์ภายในรถ การทิ้งของเสียออกจากรถ รวมทั้งการหา RV Campsite แต่หลังจากทำความคุ้นเคยกับมันได้วันสองสามวัน ก็เริ่มจะเข้าที่และไม่ยากอย่างที่คิด ผมเชื่อว่าทุกคนก็ทำได้

ปีนี้พิเศษหน่อย ตรงที่ครบรอบ 150 ปี ประเทศ Canada ใครที่ถือบัตรนี้จะสามารถเข้าไปเที่ยวตาม Park ต่างๆได้ฟรี รายละเอียดเราสามารถขอบัตรได้ที่
http://www.commandesparcs-parksorders.ca/webapp/wcs/stores/servlet/CategoryDisplay?storeId=22953&categoryId=216870&catalogId=53407 หรือติดต่อโดยตรงที่ปากทางเข้า National Park ต่างๆได้ครับ

สำหรับครั้งนี้จะชวนทุกคนมา ตะลอน Canadian Rockies กับรถ RVโดยเฉพาะ โดยขอข้ามการเที่ยวที่เมือง Vancouver ไปก่อน ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับประเภทของรถ RV กันก่อนนะครับ เนื้อหาจะยาวหน่อย แต่คิดว่าเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ เลยต้องมาแชร์ข้อมูลให้อ่านกัน

ทำความรู้จักกับรถ RV
เรามาทำความรู้จักรถ RV กันดีกว่าครับ รถ RV ย่อมาจาก Recreational Vehicle หรือคนไทยส่วนใหญ่จะเรียก “รถบ้าน” จริงๆแล้ว รถบ้านหรือ รถ RV นั้นสามารถแยกย่อยออกได้เป็นหลายประเภทเลยครับ แต่ศัพท์ทางการที่ใช้เรียกรถบ้านเหล่านี้คือ RV เรามาดูกันสิว่ารถ RV นั้นมีกี่ประเภทและมีจุดเด่นจุดด้อยอะไรกันบ้าง

แบบที่ 1 Class A รถ RV คลาส เอ นี้ คือรถ Motorhomes ที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถือได้ว่าเป็นรถ Motorhomes ที่ใหญ่ที่สุดแพงที่สุดเลยก็ว่าได้ หน้าตาคล้ายๆรถบัส ความยาวบางคันยาวถึง 45 ฟุตเลยทีเดียว เนื้อที่ใช้สอยข้างในถือได้ว่าเยอะสบายเลย ทั้งหน้าต่างพาโนรามา เตียงที่สามารถเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่นหรือโต๊ะทานอาหารได้ ครัวเล็กๆ พร้อมตู้เย็น เตาแก๊ส ฮีทเตอร์ ห้องส้วมและห้องอาบน้ำ เครื่องเอนเตอร์เทนทั้งหลาย ทีวี ดีวีดี หรือบางคันอาจมีแม้กระทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เรียกได้ว่าอยู่เป็นบ้านไปเลยสบายๆ

ข้อดี ก็แน่นอน ใหญ่โต เนื้อที่ข้างในกว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม
ข้อเสีย ที่ตามมากับความใหญ่ คืออาจจะลำบากสำหรับการขับสักหน่อย ที่จอดรถอาจจะจอดได้ยากกว่า โดยเฉพาะถนนแคบๆรุ่นนี้ก็อาจจะไปไม่รอดได้นะครับ อีกข้อหลักๆคือค่าเช่าแพงมากครับรุ่นนี้
เครดิตรูป: https://learn.compactappliance.com/types-of-rvs-and-motorhomes/

แบบที่ 2 Class B รถ RV คลาส บี ก็คือรถ แคมป์เปอร์แวน (Campervan) ที่พวกเราได้ยินกันบ่อยๆนั่นเอง Campervan ก็คือรถตู้ดัดแปลง และยกหลังคาให้สูง รถคลาสนี้จะมามีห้องครัวเล็กๆพร้อมตู้เย็นและเตาแก๊ส รถรุ่นที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยอาจมีน้ำร้อน แอร์และเครื่องทำความร้อน (heater) หรืออาจมีแค่ห้องสุขา (Portable toilet) ให้ด้วย รุ่นนี้จะเหมาะกับการเดินทางสำหรับ คนสองคน ถ้ามากกว่านี้ก็อาจรู้สึกคับแคบได้

ข้อดี เนื่องด้วยขนาดไม่ใหญ่มาก ประหนึ่งรถรู้ยกหลังคาสูง ทำให้ขับไปไหนมาไหนได้สะดวก การเซ็ตอัพอะไรก็ไม่ยุ่งยาก และไม่แพง
ข้อเสีย มีสิ่งอำนวยความสะดวกจำกัด ไปเที่ยวไม่นานนักก็อาจจะพอได้ แต่ถ้าทริปยาวๆอาจสะดวกสบายเท่ารถ Class A และ C และมีเนื้อที่ใช้สอยจำกัด
เครดิตรูป: https://learn.compactappliance.com/types-of-rvs-and-motorhomes/

แบบที่ 3 Class C รถประเภทนี้ ถือได้ว่าเป็นรถ RV ไซด์กลาง ยาว 20-33 ฟุต รถประเภท C นี้จะรูปร่างเหมือนรถ Truck หรือรถตู้ขนาดใหญ่ ถูกออกแบบมาเพื่อการเดินทางแบบครอบครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจาก Class A แต่ไม่หรูหราเท่าและจ่ายเงินในราคาที่ประหยัดกว่า รถคันไม่ใหญ่เกินไป รถคลาสนี้มีเนื้อที่ใช้สอยข้างในใหญ่กว่าคลาส B และมีสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้ๆคลาส A ส่วนใหญ่จะมากับห้องอาบน้ำและห้องส้วม มีครัว มีที่นอน โต๊ะทานอาหาร ทีวี ดีวีดี ที่เก็บของก็เยอะพอสมควร เป็นคลาสเดียวกับที่พวกเรา ตะลอนแฟมมิลี่เช่าในการท่องเที่ยวที่แคนนาดาครับ เหมาะมากๆสำหรับ ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 บางคันสามารถนอนจริงๆได้ 6-8 คน แต่เนื้อที่ใช้สอยอาจจะคับแคบลงไปหน่อย ถือว่ารถ Class นี้เป็นที่นิยมที่สุดของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้

ข้อดี ของรถ RV คลาสนี้ คือไปได้ทั้งครอบครัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบคัน ขับได้สบายกว่าและถูกกว่า คลาส A แน่นอน
ข้อเสีย ก็ยังคงแพงอยู่หากเทียบกับคลาส C ใหญ่กว่ารถตู้เพราะฉะนั้นถ้าขับครั้งแรกก็อาจจะต้องสร้างความคุ้นเคยหน่อย โดยเฉพาะเวลาเลี้ยวหรือถอย และ สิ่งอำนวยความสะดวกไฮโซขึ้นมาหน่อย แต่บางอย่างอาจไม่มีเท่าคลาส A เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า
เครดิตรูป: https://learn.compactappliance.com/types-of-rvs-and-motorhomes/

นอกจาก 3 แบบที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีรถ RV ในแบบอื่นๆ อีก เช่น
• Truck Campers เป็นตู้ที่มีที่นอน และต่ออยู่บนรถกระบะอีกที อันนี้ก็จะขับง่ายแน่นอนเพราะต่อบนรถอีกที แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและเนื้อที่ใช้สอยก็น้อยตามไปด้วย
เครดิตรูป: http://www.fraserway.com

• Pop-up Campers มีลักษณะที่แบบต้องต่อรถ สามารถกางเตียงนอนออกมาได้และมีผนังเป็นผ้าเต็นท์
เครดิตรูป : http://www.generalrv.com

• Travel Trailers บางครั้งเรียกว่า คาราแวน caravans แบบที่เป็นรถถาวร มีสิ่งอำนวยความสะดวกข้างในและต้องต่อพ่วงกับรถอีกทีหนึ่ง ซึ่งเหมาะมากเวลาไปเที่ยวแล้วจอดเฉพาะส่วนที่นอนไว้ แล้วเอาเฉพาะรถที่ลากขับไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆหรือเข้าเมืองไปซื้ออาหารก็สะดวกมากในเรื่องจอดรถ
เครดิตรูป : https://www.kz-rv.com/travel-trailers.html

คราวนี้มาถึงวิธีการใช้งาน รถ RV แบบคร่าวๆ กันบ้างในที่นี้ขอพูดถึงคันที่พวกเราใช้เป็นหลักเลยนะครับ เป็นรถ RV Class C เราเช่าผ่าน Agency ที่ชื่อ Camper Travel Canada ผ่านทางเว็บไซต์และการติดต่อผ่านอีเมล์จากไทย แต่เจ้าที่เราไปรับรถและเช่าด้วยจริงๆชื่อ Travelland RV Rental อยู่เมือง Langley อยู่ห่างจาก Vancouver ไปราว 45 นาที เราติดต่อเช่าเหมาแบบมีรถแท็กซี่มารับพวกเราจากโรงแรมที่เราพักใน Vancouver และไปส่งยังบริษัทรับรถเลย ขากลับก็เช่นเดียวกัน หลังจากคืนรถแล้ว เค้าก็ขับมาส่งที่โรงแรมที่เราพัก ถือว่าสะดวกทีเดียวครับ ไปถึงก็จะต้องเซ็นต์เอกสารการเช่า ประกันอุบัติเหตุต่างๆรวมถึงเจ้าหน้าที่จะสอนวิธีการใช้รถ ขั้นตอนนี้สำคัญมากครับ ต้องตั้งใจฟัง

ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะพาชมรอบรถ สอนการใช้รถ และ อุปกรณ์ ต่างๆ แน่นอนสำหรับมือใหม่ จำได้ไม่หมดหรอกครับ บวกกับความตื่นเต้นเข้าไป จำได้เกิน 50% ก็ถือว่าเก่งแล้ว ผมเลยต้องถ่ายคลิปวีดีโอไว้ด้วยตอนเค้าสอนกันลืม แต่ไม่ต้องห่วงครับ เค้ามีคู่มือ แบบฉบับเต็มๆ หน้าเหมือน Text book มาให้เราอ่านอีกเล่ม ในนั้นมีทุกอย่าง ทั้งวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ การดูแลรถ รวมถึง เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน เราก็ไม่ได้อ่านทั้งเล่มหรอก เอาจริงก็จะเปิดดูหน้าที่เรามีข้อสงสัย โดยเฉพาะหน้าการกำจัดของเสีย หยุดอ่านอยู่นานมาก... 5555

มาดูรถของพวกเราก่อนละกันครับ อย่างที่บอกรถที่เราเช่าสำหรับทริปนี้เป็น RV คลาส C ที่จริงเค้าว่านอนได้ถึง 5 คนนะ แต่ผมว่าถ้าผู้ใหญ่ 5 คน ตอนเดินกันในบ้านก็คงเบียดเสียดพอดู สำหรับครอบครัวผม ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 ถือว่าเหมาะสุดๆครับ โต๊ะทานอาหารสามารถพับเก็บทำเป็นเตียงได้ แต่พวกเราไม่ได้พับเก็บเลย เพราะเป็นที่นั่งเด็กๆเวลาเดินทาง และ ทานอาหาร ส่วนเรื่องที่นอน เด็ก 2 คน นอนบนเตียงที่อยู่ด้านบนคนขับ พ่อกับแม่นอนอยู่ด้านหลังสบายๆ อ๋อ… บอกไว้ก่อนนะครับว่า การขับรถ RV ไม่ได้ต้องการใบขับขี่พิเศษอะไร แค่ทำใบขับขี่สากลก็ใช้ได้แล้ว เวลานั่งผมเป็นคนขับ ส่วนภรรยานั่งด้านข้างคนขับช่วยดูทาง เด็กๆนั่งตรงโต๊ะทานอาหาร และต้องสวมเข็มขัดตลอดเวลาที่รถเคลื่อนที่

พาหนะของครอบครัวเราในทริปนี้ครับ

รถที่พวกเราเช่ามีที่นอน 5 ที่ โต๊ะทานอาหาร ครัว เตาอบ ตู้เย็น ไมโครเวฟ ทีวี ดีวีดี ฮีทเตอร์ ห้องอาบน้ำ และส้วม ถือว่าครบสบายๆเลยครับ ส่วนเรื่องอุปกรณ์ครัวและเครื่องนอน เค้ามีให้หมด ถ้าเราเช่าแบบเหมาครบมา ก็ดูว่ายังขาดอะไรค่อยเช่าเพิ่มเติมได้ครับ เช่น เครื่องปิ้งขนมปัง, เครื่องทำกาแฟ, เก้าอี้ผ้าใบ, หรือโต๊ะสนามสำหรับปิคนิค ตอนไปรับรถก็แจ้งเพิ่ม จ่ายเพิ่มได้ตามสะดวกเลยครับ ส่วนเรื่องประกันภัยนั้นยังไงก็ต้องซื้อนะครับ แต่จะเอามากน้อยยังไงตัดสินใจตามงบประมาณและความเสี่ยงของท่านเองละกันครับ ข้างล่างเป็น Floor Plan ของรถที่พวกเราเช่าครับ (รูปอาจไม่ค่อยชัดนิดนึง^^)
เครดิตภาพ: http://www.campertravelcanada.com

รถ RV ส่วนใหญ่ก็เติมน้ำมัน Gasoline ปกติ คันที่เราใช้เติมเบนซิน 91/95 และมีระบบ แก๊ส Propane ซึ่งเค้าจะเติมให้เราเต็มอยู่แล้ว ตอนรับรถก็เช็คว่าทุกอย่างทำงานปกติดี สิ่งที่ใช้ระบบแก๊สก็จะมี เตาแก๊สครัว เตาอบ และ ตู้เย็น ระบบไฟในรถก็ใช้แบตเตอร์รี่
ข้อควรระวังที่เค้าจะย้ำคือเวลาเติมน้ำมัน ให้ปิดระบบไฟตู้เย็น ปิดวาล์ว Propane ก่อนทุกครั้ง แล้วถึงค่อยเติมน้ำมันได้เพื่อความปลอดภัย
ส่วนการเติมแก๊สหุงต้ม Propane ต้องให้พนักงานที่ปั้มน้ำมันช่วยนะครับ อย่าเติมเองถ้าไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง แต่พวกเราทำอาหารแทบทุกมื้อ อยู่บนรถ 10 วัน แก๊สก็ยังไม่หมดนะ แสดงว่าใช้ได้นานพอสมควรอยู่

ระบบน้ำในรถ
คราวนี้มาพูดถึงระบบน้ำในรถบ้านกันครับ ข้างรถจะมีช่อง 2 ช่องสำหรับระบบน้ำ
ช่องที่ 1 สำหรับเติมน้ำใส่แทงค์น้ำสะอาด อันนี้เติมไว้เพื่อเวลาใช้น้ำขณะรถเคลื่อนที่ หรือระหว่างเดินทางนั่นเอง หรือกรณีที่ไปจอดแต่ไม่มีระบบน้ำไว้ต่อใช้ในรถ ก็ก่อนออกเดินทางก็เติมน้ำในแทงค์ให้เต็มทุกครั้งไว้ก่อนครับ

ช่อง TANK FILL ก็คือช่องเติมน้ำสะอาดเข้าแทงค์สำรองที่อยู่ในรถครับ อันนี้ตำแหน่งอยู่ข้างรถเลย
อีกฝั่งของสายยาง ต่อเข้ากับก๊อกของที่ Campsite ที่มีบริการเลยครับ ถ้าต่อไม่แน่นต้องหาคีมมาช่วยหมุน

ช่องที่ 2 สำหรับต่อระบบน้ำไว้ใช้งานขณะรถจอดตาม Campsite เวลาไปที่ Campsite ต่างๆ ถ้าเป็น Campsite แบบ Full service จะมีทั้งระบบน้ำ และ ระบบไฟให้พ่วงต่อกันได้ หรือบางที่อาจมีบริการแค่ ระบบน้ำ ก็เป็นได้ ต้องลองหาข้อมูลของแต่ละที่ดู เวลาที่รถจอดตาม Campsite เราสามารถพ่วงสายยาง ซึ่งในรถเค้าจะมีให้เราอยู่แล้ว ต่อเข้ากับก๊อกที่ Campsite ของเรา อีกฝั่งต่อเข้ากับช่องข้างรถที่มีให้ต่อระบบน้ำในรถ เท่านี้เราก็มีน้ำไว้ใช้ตลอดเวลาที่เรามีสายต่ออยู่ โดยไม่ได้ไปใช้น้ำในแทงค์น้ำสะอาดของเรา อันนี้ไม่งงนะครับ

อีกจุดต่อน้ำในรถที่ใช้สำหรับการใช้น้ำภายในรถบ้านโดยไม่ได้ใช้น้ำจากแทงค์สำรองเก็บน้ำสะอาด

อีกฝั่งที่ต่อเข้ากับก๊อกน้ำสะอาดตามจุด Campsite ต่างๆที่มีให้บริการ ใช้มือเปล่าก็มือก็อาจเปิงได้นะครับแนะนำหาถุงมือช่างไม่หนามากมาช่วยจะดีกว่า

ขอแนะนำว่าถ้าจะไปพักในที่ที่ไม่มีระบบน้ำไว้บริการ ก็วางแผนประหยัดการใช้น้ำให้ดีๆ Campsite แทบทุกที่มีห้องอาบน้ำ และ ห้องส้วมไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว บางคนก็ไปอาบน้ำ เข้าห้องน้ำที่ห้องน้ำตาม Campsiteไปเลยก็สบายดี
อุปกรณ์เสริม ที่ควรจะมี อันนี้ต้องเตรียมไปเองคือ 1. คีมอันใหญ่ไว้ช่วยขันน๊อตเวลาต่อสายยางเข้าด้วยกัน เพราะมันแข็งมาก ใช้มือตัวเองหมุนแล้วจะเจ็บ 2. ถุงมือช่าง (มือจะได้ไม่เจ็บมาก) 3.ไฟฉาย

ระบบไฟฟ้าในรถ
ระบบไฟฟ้า ที่ใช้ในรถ อธิบายง่ายๆก็แยกเป็น 2 เวลาเช่นกัน คือ
1. เวลาจอดรถที่ Campsite และมีระบบไฟ ต่อสายไฟกับรถ อันนี้ก็เช่นกัน แต่ละ Campsite จะมีบริการที่ต่างกัน บางที่มี บางที่ไม่มี แต่พวกเราชอบเลือก แบบ Full service คือมีทุกอย่างให้ เพราะฉะนั้นเวลาจอดพักที่ Campsite ก็เอาสายไฟ ที่มีมากับรถ เสียบเข้ากับปลั๊กไฟในรถ (ตามภาพ) อีกฝั่งเสียบกับปลั๊กที่ทาง Campsite เค้ามีให้ เท่านี้ก็ใช้ไฟได้ตลอดเวลา ดูทีวี ใช้ไมโครเวฟ ชาร์จแบตมือถือ ได้เหมือนอยู่บ้านเลยครับ
2. เวลาที่ไม่มีระบบไฟต่อ ไฟฟ้าในรถก็มาจากแบตเตอรี่ ซึ่งใช้ไปนานๆก็มีโอกาสหมดได้ แต่อย่างที่บอกผมชอบเลือก Campsite ที่ที่มีบริการ Full Service ไว้ก่อนสบายกาย สบายใจดีครับ
ระบบไฟฟ้าในรถ
ระบบไฟฟ้า ที่ใช้ในรถ อธิบายง่ายๆก็แยกเป็น 2 เวลาเช่นกัน คือ
1. เวลาจอดรถที่ Campsite และมีระบบไฟ ต่อสายไฟกับรถ อันนี้ก็เช่นกัน แต่ละ Campsite จะมีบริการที่ต่างกัน บางที่มี บางที่ไม่มี แต่พวกเราชอบเลือก แบบ Full service คือมีทุกอย่างให้ เพราะฉะนั้นเวลาจอดพักที่ Campsite ก็เอาสายไฟ ที่มีมากับรถ เสียบเข้ากับปลั๊กไฟในรถ (ตามภาพ) อีกฝั่งเสียบกับปลั๊กที่ทาง Campsite เค้ามีให้ เท่านี้ก็ใช้ไฟได้ตลอดเวลา ดูทีวี ใช้ไมโครเวฟ ชาร์จแบตมือถือ ได้เหมือนอยู่บ้านเลยครับ
2. เวลาที่ไม่มีระบบไฟต่อ ไฟฟ้าในรถก็มาจากแบตเตอรี่ ซึ่งใช้ไปนานๆก็มีโอกาสหมดได้ แต่อย่างที่บอกผมชอบเลือก Campsite ที่ที่มีบริการ Full Service ไว้ก่อนสบายกาย สบายใจดีครับ

ภาพที่ 1: ช่องจุดต่อไฟสำหรับเข้าในรถ สำหรับคันนี้ช่องอยู่ด้านข้างซ้ายมือครับ
ภาพที่ 2: สายปลั๊กไฟที่ใช้ต่อ
ภาพที่ 3: เอาปลั๊กด้านหนึ่งเสียบเข้าปลั๊กตัวเมียภายในรถ
ภาพที่ 4: ส่วนปลั๊กอีกฝั่งเสียบเข้ากลับปลั๊กไฟที่จุดบริการตรง Campsite

ระบบระบายน้ำเสีย
และแล้วก็มาถึงหัวข้อที่ทุกคนรอคอย... 555 ที่แน่ๆ สิ่งที่ครอบครัวผมอยากรู้มากที่สุด! หนีไม่พ้นการกำจัดของเสียของพวกเราเอง (หนักไปทางของน้องเพลส เพราะระบบขับถ่ายดีเหลือเกิน!) แทงค์ของเสีย จะมี 2 แทงค์ครับ สีเทาและสีดำ เค้าเรียก Grey water tank and Black water tank สีเทาก็คือน้ำที่ใช้แล้วนั่นแหละครับไม่ว่าจะมาจากอ่าง Sink ในครัว อ่างในห้องน้ำ จากน้ำที่เราอาบในห้องอาบน้ำ แทงค์นี้เต็มเร็วทีเดียว เพราะเราทำกับข้าวกันเช้าเย็น อาหารไทยด้วยแทบทุกวัน ล้างจานกันในรถ และเด็กๆนิยมให้อาบน้ำในรถ เพราะเดินไปอาบน้ำข้างนอกตอนกลางคืนมันหนาวววววว ผมว่าสำหรับครอบครัวผมวันเดียวน้ำก็เต็มแล้ว ต้องหาที่ทิ้ง
ส่วนสีดำนั้นก็คือ ทั้งของเหลวของแข็งที่มาจาก ส้วมนั่นเอง
รู้ได้ยังไงว่ามันเต็ม? ในรถจะมีแผงเช็คระบบทุกอย่างให้เราดูครับ ง่ายมาก บนแผงจะมีไฟบอกว่าอะไรจะเต็มแล้วอะไรจะหมด
ทั้ง Grey water, Black water, แก็สหุงต้ม, แบตเตอรี่
เครดิตภาพ: http://www.doityourselfrv.com

ลืมถ่ายรูปจากรถตัวเอง เลยไปหามาจากในอินเตอร์เน็ตให้ดู ของเราคล้ายๆแบบนี้ครับ แต่ Grey water tank เรามีช่องเดียว และมีอีกช่องที่บอกปริมาณแก็สหุงต้ม (Propane) ก็จะมาเช็คที่นี่บ่อยมาก ใช้ง่ายๆแค่กดปุ่ม “Level Test”
อีกปุ่ม “Water pump” ใช้เมื่อเราต้องการใช้งาน ระบบน้ำจากแท้งค์น้ำครับ กดปุ่มนี้น้ำในรถจะไหลแรงขึ้น
ตำแหน่งช่องเช็คระดับต่างๆอยู่ใกล้ๆเตาตรงที่วงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินครับ

พอรู้ว่ามีอะไรบ้างแล้วคราวนี้วิธีการกำจัดน้ำทิ้งจากรถ
อุปกรณ์ที่ใช้ อุปกรณ์ที่กล่าวมาข้างล่างนี้ ทางบริษัทเช่ารถเค้ามีให้เราหมด
1.สาย hose สำหรับ ทิ้ง (dump) ของเสีย
2. ถุงมือ (ถ้ามีแบบใช้แล้วทิ้งก็จะดี ต้องเตรียมเอง)
3. สารเคมี ที่ใช้ละลายของเสีย และช่วยลดกลิ่น
4. ถุงดำไว้ใส่สายยางหลังใช้เสร็จและล้างแล้ว
ตัวสารเคมีที่ว่าใช้สำหรับละลายของเสียให้กลายเป็นของเหลว และช่วยลดกลิ่น เดี๋ยวนี้มีแบบใช้งานสะดวกมากครับ เป็นแบบแพ็ค ห่อในพลาสติกที่ย่อยสลายได้ แค่หย่อนลงในส้วม แล้วกดชักโครก ก็เรียบร้อย ผมทำทุกครั้งที่มีทำการทิ้งของเสียเลย

ขั้นตอนการระบายน้ำทิ้งจากรถบ้าน
1. หาหน่วยกล้าตาย 5555 ล้อเล่น แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่เกี่ยงกันน่าดู
2. นำรถไปจอดในที่ทิ้งของเสีย (Dump Station) อันนี้ตาม Campsite ที่มี Full Service ส่วนใหญ่จะมีนะครับ หรือระหว่างทางไปอุทยานต่างๆจะมีจุดบริการไว้ให้ทิ้งได้
ขั้นตอนการระบายน้ำทิ้งจากรถบ้าน
1. หาหน่วยกล้าตาย 5555 ล้อเล่น แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่เกี่ยงกันน่าดู
2. นำรถไปจอดในที่ทิ้งของเสีย (Dump Station) อันนี้ตาม Campsite ที่มี Full Service ส่วนใหญ่จะมีนะครับ หรือระหว่างทางไปอุทยานต่างๆจะมีจุดบริการไว้ให้ทิ้งได้
จอดรถให้ได้ตำแหน่งที่คิดว่าความยาวของสาย hose จากในรถต่อถึง

3. ใส่ถุงมือให้เรียบร้อย
4. นำสาย hose มาต่อกับช่องทิ้งของเสียของ Dump station ก่อน (ย้ำ ก่อน!) อาจหาหินหรืออะไรมาทับไม่ให้มันหลุดออก แล้วนำอีกฝั่ง ต่อเข้ากับช่องทิ้งของเสียจากรถ เปิดฝาที่ครอบแล้วทำการหมุนต่อให้แน่น ย้ำ! ต้องหมุนต่อให้แน่น!

3. ใส่ถุงมือให้เรียบร้อย
4. นำสาย hose มาต่อกับช่องทิ้งของเสียของ Dump station ก่อน (ย้ำ ก่อน!) อาจหาหินหรืออะไรมาทับไม่ให้มันหลุดออก แล้วนำอีกฝั่ง ต่อเข้ากับช่องทิ้งของเสียจากรถ เปิดฝาที่ครอบแล้วทำการหมุนต่อให้แน่น ย้ำ! ต้องหมุนต่อให้แน่น!

5. เปิดวาวล์แทงค์สีดำ (Black water tank) ก่อนทุกครั้ง จนมั่นใจว่าหมดแล้ว จึงปิดวาวล์แทงค์สีดำ

6. แล้วก็ทำการเปิดวาวล์แทงค์สีเทา (Grey water tank) ปล่อยของเสียทิ้งจนหมด จากนั้นปิดวาวล์แทงค์สีเทา

7. นำสาย hose ออกจากฝั่งที่ต่อกับรถ ปิดฝาท่อให้เรียบร้อย แล้วทำการล้างสาย hose ส่วนใหญ่ที่ Dump station จะมีสายยางต่อกับก๊อกน้ำไว้ให้เราล้างทำความสะอาด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ใน hose โดยยังคงต่อสาย hose อีกฝั่งไว้ให้ไหลลง Dump station แล้วฉีดล้างสาย hose ให้สะอาด
- อย่านำไปดื่มนะครับสำหรับน้ำจากก๊อกนี้

8. ทำการเก็บ hose จากท่อทิ้ง ใส่ถุงดำเก็บเข้ารถ
9. ทำความสะอาดมือและร่างกายให้เรียบร้อย
เท่านี้เองครับ! ง่ายกว่าที่คิด ไม่ยุ่งยาก หวังว่าจะเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ การเดินทางด้วยรถบ้านเหมือนจะยาก แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด ยิ่งสมัยนี้สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะแยะมากมาย และยิ่งเราขับเที่ยวในประเทศที่เค้านิยมเที่ยวด้วยรถ RV แบบนี้แล้ว มีทุกอย่างให้เราจริงๆครับ การหา Campsite ก็ง่ายและมีอยู่ตลอดทาง แต่ก็ขึ้นอยู่กับที่เลือกสถานที่ท่องเที่ยวนะครับ ถ้าหน้าร้อนนี่สบายหน่อย เปิดแทบทุกที่ แต่หน้าหนาว หรือต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างที่พวกเราไป ก็อาจจะต้องตรวจสอบเช็คให้ดีก่อน แต่รับรองจะติดใจเหมือนครอบครัวเรา!

มาดูภายในรถ RV กัน
คราวนี้มาชมภายในรถบ้านของพวกเรากันครับ เป็นรถ RV Class C ซึ่งถือได้ว่ามีทุกอย่างค่อนข้างครบเลยทีเดียวครับ เป็นรถโมเดล Ford ตอนที่ใช้วิ่งมาแค่ 3 พันกว่ากิโล ถือว่าใหม่เลยแหละครับ มีทั้งหมด 5 ที่นั่ง เตียงนอนอยู่ตรงช่องข้างบนคนขับนอนได้ 2 คน เตียงใหญ่อยู่ข้างหลังอีก 2 คน และ โต๊ะทานอาหารที่พับเป็นเตียงได้นอนได้อีก 1 คน มีครัวเล็กๆที่มี อ่างล้างจาน เตาแก๊ส เตาอบ ไมโครเวฟ ตู้เย็น และฮีทเตอร์ไว้ครบ มีตู้เก็บเสื้อผ้า เก็บของถือว่าเยอะพอสมควร มีที่เก็บของ อยู่ใต้ท้องรถด้วย เผื่อใครมีสัมภาระเยอะ นอกจากนี้ก็มีห้องอาบน้ำและส้วมไว้ให้ใช้ สะดวกสบายมาก แถมมีทีวี และ ดีวีดี ให้ดูด้วยนะครับ

รถที่ได้มา เพิ่งวิ่งไปได้ 3403 กิโลเมตร เท่านั้น ใหม่สุดๆ

Campsite ที่พวกเราพัก
การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราวางแผนกันมาหลวมๆไม่ได้จองที่พักหรืออะไรไว้ล่วงหน้า โดยปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางตามสภาพการณ์ (ซึ่งมันก็มีข้อดีสำหรับทริปนี้เหมือน เพราะพวกเราเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างการเดินทางด้วย ทำให้ผิดแผนจากเดิมไปหน่อย ติดตามอ่านได้ในรายละเอียดต่อไปครับ) เอาเป็นว่า Campsite ที่พวกเราไปพักสำหรับทริปนี้มีดังนี้

1. Steelhead Provincial Park (พิกัด GPS 50.756585, -120.864801) อยู่ไม่ไกลจากเมือง Kamploop มากนัก ที่พักบรรยากาศดีมากติดทะเลสาบ มีระบบน้ำไฟพร้อม แต่ไม่มีที่ทิ้งน้ำเสีย (ราคา 28 CAD/คืน)
2. Tete Jaune Lodge Campground (พิกัด GPS 52.97601, -119.44066) อยู่ใกล้กับ Mount Robson Provincial Park ที่พักติดริมแม่น้ำ มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม ห้องน้ำสะอาดมาก มีสนามเด็กเล่น มีบริการ Laundry แต่จอดรถได้น้อย (ราคา 38 CAD/คืน)
3. Whistler Campground (พิกัด GPS 52.84764, -118.07945) อยู่ห่างจากตัวเมือง Jasper ไม่เกิน 10 นาที สถานที่ใหญ่โตมาก รองรับรถ RV ได้หลายร้อยคัน อยู่ท่ามกลางหุบเขา เครื่องอำนวยความสะดวกครบ ระบบระบายน้ำเสียมีหลายจุดให้บริการ สนามเด็กเล่นมีภูเขาหิมะเป็นแบล๊กกราวด์สวยงามมาก แต่ห้องอาบน้ำอยู่ไกลไปนิดนึง
(ราคา 38 CAD/คืน)
4. Crimson Lake Campground (พิกัด GPS 52.44794, -115.03082) เป็นที่พักที่มาพักแบบไม่ได้ตั้งใจ มีระบบน้ำไฟพร้อม แต่ไม่มีที่ทิ้งน้ำเสีย บรรยากาศธรรมดาไม่ได้สวยงามอะไรมากนัก มีระบบ Self Register ถ้ามาถึงนอกเวลา(ราคา 27 CAD/คืน)

5. Lake Louise Campground (พิกัด GPS 51.41679, -116.17562) อยู่ใกล้ตัวเมือง Lake Louise สถานที่ใหญ่โตมาก รองรับรถ RV ได้หลายร้อยคัน มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม (ราคา - CAD/คืน)
6. Revelstoke Campground (พิกัด GPS 50.99160, -118.15391) อยู่ห่างจากตัวเมือง Revelstoke ประมาณ 15 นาที ที่พักอยู่ใกล้กับแม่น้ำ สถานที่รองรับรถ RV ได้ค่อนข้างมาก มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม มีสนามเด็กเล่น มีบริการ Laundry เจ้าของเป็นชาวเกาหลีใจดีมากๆครับ (ราคา 45 CAD/คืน)
7. West Eagle Campground (พิกัด GPS 49.843880, -119.609882) อยู่ทางฝั่ง West Kewlona ใกล้กับWineryที่โด่งดังใน Kewlona มีระบบน้ำไฟพร้อม มีที่ทิ้งน้ำเสียตรงจุดพักเลย พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ห้องน้ำต้องเสียค่าหยอดเหรียญเพิ่มเติม (ราคา 48 CAD/คืน)
8. Princeton RV Campground (พิกัด GPS 49.46236, -120.47706) อยู่ใกล้เมือง Princeton โดยใช้เป็นเส้นทางขากลับที่แวะพักก่อนส่งคืนรถ ที่พักบรรยากาศดีติดแม่น้ำ เครื่องอำนวยความสะดวกครบ มีที่ทิ้งระบายน้ำเสียให้บริการ แต่สถานที่รองรับรถ RV ได้ไม่มากนัก (ราคา 30 CAD/คืน)
ราคาที่พักอาจปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามฤดูกาลของการท่องเที่ยวครับ (ช่วงที่พวกเราไปนั้น 1 CAD ประมาณ 26.10 – 26.30 บาท)

อุปกรณ์และเครื่องปรุงส่วนใหญ่ที่พวกเราหิ้วมาจากที่เมืองไทย

แผนการเดินทาง
สำหรับแผนการเดินทาง ตะลอน Canadian Rockies ตลอด 10 วันนี้ ตามแผนที่ด้านล่างครับ โดยครอบครัวเราจะไม่เน้นขับรถยาวเป็นระยะทางที่ไกลเกินไปในแต่ละวัน ซึ่งแผนที่นี้เป็นการวางแผนเดิมที่พวกเราวางไว้ว่าจะไปนอนค้างคืนที่ไหนกันบ้างในแต่ละวัน แต่พอถึงเวลาจริงมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ต้องปรับเปลี่ยนแผนเดินทางกันอย่างกระทันหัน ซึ่งรายละเอียดติดตามได้ในตอนต่อๆไปครับ
แผนแรกเริ่มสำหรับที่จะพักค้างคืนมีดังนี้ครับ Kamloop 1 คืน, Mount Robson 1 คืน, Jasper 2 คืน, Banff 1 คืน, Lake Louise 2 คืน, Revelstoke 1 คืน, Kewlona 1 คืน รวมทั้งหมด 9 คืน 10 วัน

อารัมบทมาพอหอมปากหอมคอ เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็ตามมาเที่ยวด้วยกันเลยครับ!!! (ติดตามต่อในตอนที่ 2 นะครับ)
ติดตามการท่องเที่ยวของพวกเราตะลอนแฟมมิลี่ ในสถานที่อื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ FB : TalonFamily https://www.facebook.com/TalonFamily/

ความคิดเห็นทั้งหมด (0)

    รีวิวที่คล้ายกัน

    ทริปที่ใกล้เคียง

    ไอเดียที่ใกล้เคียง