ผมไม่ใช่คนเมืองหลวง เป็นแค่คนอาศัยในเมืองหลวง ที่ต้องทำงาน ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดไปวันๆ
ต้องแข่งกับเวลา ต้องเร่ง ต้องรีบ เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง อยู่กับสี กับแสง จนเกือบลืมไปแล้วว่า แท้จริงแล้ว ผมมาจากไหน
วันที่ 7 8 9 พฤษภาคม 2554 ผมได้มีโอกาสกลับบ้านอีกครั้ง ด้วยอภินันทนาการตั๋วเครื่องบินฟรี ... ไม่ได้เป็นหน้าม้า แต่น้าสนับสนุนครับ
กลับไปคราวนี้ ไปไม่นาน ... เพิ่งรู้ว่า บ้าน กลับไปกี่ครั้ง ไม่ว่าครั้งละกี่วัน ก็รู้สึกว่า แค่แป๊บเดียว จริงๆ
พอลงเครื่อง พ่อก็ขนคนมารับเต็มพิกัด รถกระบะแทบไม่พอนั่ง
คนขับ พ่อ น้องชาย น้องสาว และตัวกระผมเอง... รถแคบ แต่ความรักมันใหญ่จริงๆ
เย็นวันที่ 7 ผมกับน้องชาย ก็พากันสะพายกล้องออกหามุมสวยๆ ใจจริงอยากถ่ายรูปน้อง ที่เราเลี้ยงดูมากับมือ
แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับออกมาเป็นรูปเหล่านี้...
พ่อกับแม่ เป็นคนไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร แต่เป็นคนที่มีจิตใจร่ำรวยมาก
ทั้งสอง ช่วยกันดูแลลูกๆและคอยเพิ่มพูนทรัพย์สินของตัวเอง และอยู่กันแบบพอเพียง
ท่านบอกผมเสมอว่า สิ่งที่หามาได้ ไม่ได้ให้ใคร ก็ลูกนั่นแหละ...
แต่ก่อน ผมก็ได้แต่บอกว่า หามา ผมก็ไม่อยากได้หรอก ที่นา ที่ไร่
แต่ตอนนี้ อยากบอกว่า อยากกลับไปอยู่ไร่ อยู่นาเหลือเกินแล้ว
ยามเย็นที่เมืองหลวง มีแต่เสียง กับสี
ยามเย็นที่บ้านนอก มีแต่ลมกับฟ้า
ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องแข่งขัน มีทั้งความสงบกาย และใจ
มีข้าวให้กิน ไม่ต้องไปซื้อ มีพ่อให้คุยด้วย มีแม่ให้กอด มีน้องให้สอนการบ้าน
ทำไม แต่ก่อน ผมถึงอยากไปนักนะ...เมืองกรุง
สิ่งเดิมที่คุ้นตา เรามักจะมองข้ามไปได้ง่ายๆ
ผมโตมากับผืนนา ผืนไร่ โตมากับลม กับฟ้า แผ่นหญ้าและแมลงตัวน้อย
แต่ผมกลับอยากจะหลีกหนีมัน ในช่วงก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะวัตถุนิยมมันครอบงำจิตใจอยู่
แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง การที่เราดิ้นรนอะไรมากๆเข้า กลับทำให้รู้สึกว่า ที่ทำทุกวันนี้...เพื่อใคร?
พ่อ คือพ่อคนเดิม แม่ก็เหมือนกัน...แต่ท่านไม่เหมือนเดิม ท่านแก่ตัวลงทุกวัน
แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถึงแม้สิ่งต่างๆจะร่วงราไปตามวัย แต่ใจท่าน ยังรักลูกเหมือนเดิม ไม่ลดน้อยลงแน่ๆ
จะมีใครที่จะรักเราได้ แบบไม่มีเงื่อนไขแบบนี้อีกหนอ...
กว่าเราจะเดินมาถึงจุดนี้ เรามองไปข้างหน้า มองข้างๆ และเดินไปตามทางที่เราหวังไว้ และทำทุกอย่าง เพื่อให้ถึงจุดหมาย
บางครั้ง เราอาจจะลืมไปว่า ยังมีคนอยู่ข้างหลังที่คอยเป็นห่วง
เพราะทางที่ก้าวมา เค้าอยู่เคียงข้างเราไม่ได้ แต่เค้า คอยระวังหลังให้เสมอ...
กลับบ้านคราวนี้ แม่ดีใจมากๆ จัดเตรียมสำรับ กับข้าวที่ลูกชอบทุกอย่าง โดยไม่ต้องร้องขอ
ไม่เหมือนอยู่เมืองกรุง กินอะไร ทำอะไร ต้องทำเอง กินเอง อยู่เอง...เกือบลืมไปแล้ว ว่าความอบอุ่น มันเป็นยังไง
ถึงตอนค่ำมืด ความสงบเงียบที่เราเคยชินเมื่อนานมาแล้วก็เข้ามาสบทบ
ไร้เสียงแตร เสียงเครื่องยนต์รถ หรือเสียงโหวกเหวกโวยวายรบกวนใจ
นั่งหน้าทีวี เปิดดูละคร สอนน้องทำการบ้าน ช่วยแม่สอดด้ายใส่เข็มเย็บผ้า
ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะยืนยาวไปได้อีกนานแค่ไหน...แต่ ณ ตอนนี้ ขอตักตวงไว้ให้ได้มากที่สุดก่อนนะครับ
กลับบ้านครั้งนี้ ได้ออกไปถ่ายรูป 2 วัน วันที่ 7 กับวันที่ 8 สถานที่ใกล้กัน
ไปกับน้องชายเหมือนเดิม จากเด็กตัวเล็กๆ เท้าเท่าฝาหอย ตอนนี้สูงชะรูดเกือบเท่าพี่ชายเสียแล้ว เด็กสมัยนี้โตไวจริงๆ
แต่ไม่รู้ทำไม ผมไม่เคยมองว่าน้อง โตแล้ว ผมยังเห็นเป็นน้องชายตัวเล็กๆที่ขี่คอ ที่คอยให้อุ้ม ที่อาบน้ำให้ ที่คอยป้อนข้าวอยู่เสมอ
พ่อกับแม่ก็คงเหมือนกัน ถึงผมจะอายุมากแค่ไหน ท่านก็คงมองว่าผมเป็นลูกชายตัวเล็กๆของท่านอยู่ตลอดเวลา...นี่สินะ อานุภาพของรักแท้
แม่พูดกับผมว่า "แม่ก็อายุปูนนี้แล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปีก็ไม่รู้ อีกสัก 20 ปีไม่รู้จะถึงไหม"
ผมไม่รู้จะตอบแม่ว่ายังไง เพราะทุกอย่าง มีจุดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดสิ้นสุด...
ขอแค่วันนี้ ผมได้อยู่ใกล้ชิดท่าน ดูแลท่านเหมือนที่เราเคยได้รับมา ก็ดีที่สุดแล้ว
ผมไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ที่ปลายทาง แต่ระหว่างทางนี้ ผมจะเป็นคนดี...ผมสัญญา
ผมไม่เคยมองเห็นความสวยงามของสถานที่แห่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต
แต่กลับบ้านคราวนี้ ทำให้ผมได้ค้นพบ ว่าไม่มีที่ไหน สวยเท่าบ้านเราอีกแล้ว
สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :: https://pantip.com/topic/32583600
และสามารถโหลดรูปได้ที่ SS นะครับ >>> https://www.shutterstock.com/g/Invisiblesane
แล้วพบกัน รีิวิวหน้าครับ...
ความคิดเห็นทั้งหมด (0)